ภาพเขียนผีที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด
มันแสดงภาพของวิญญาณชายผู้ไว้หนวดเคราผู้โดดเดี่ยว กำลังถูกจูงโดยเชือกไปยังสู่ชีวิตหลังความตายโดยสตรีคนหนึ่ง ซึ่งภาพผีดังกล่าวปรากฏอยู่บนแผ่นดินเหนียวโบราณขนาดเล็กเท่าฝ่ามือจากเมืองบาบิโลน ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 3,500 ปีก่อน โดยมีบางส่วนของแผ่นที่หายไป
ผู้ค้นพบชี้ว่าอีกด้านหนึ่งของแผ่นจารึกนี้บรรยายถึงพิธีกรรม วิธีการขับไล่ผีชายที่กลับมายังโลกเนื่องจากรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และออกมาหลอกหลอนโดยการหาคู่ครองผู้หญิงให้ เพื่อให้เขาได้ไปสู่สุขติในยมโลก ซึ่งในอดีตแผ่นจารึกดังกล่าวอาจเคยอยู่ในห้องสมุดเวทมนตร์ที่บ้านหมอผี หรือในศาสนถานของคนในเมืองบาบิโลน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลภาษาอักษรรูปลิ่ม ที่ใช้กันในยุคโบราณ ที่ปรากฏอยู่บนแผ่นจารึกนี้ เขาเผยว่าวัตถุโบราณสุดน่าทึ่งดังกล่าวถูกมองข้ามมาเป็นเวลานาน โดยมันแสดงถึงความเชื่อเรื่องผีสำหรับคนยุคดังกล่าว และต้องการช่วยเหลือดวงวิญญาณที่ไม่เป็นสุขเหล่านี้ ซึ่งจากการวิเคราะห์เขาชี้ว่าสิ่งที่ผีเพศชายในภาพต้องการคือการหาคู่รักให้ เพื่อที่จะพาเขาไปสู่สุขติภาพเขียนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในคลังเก็บวัตถุโบราณของพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านี้มันถูกแปลข้อความบนภาพผิดพลาดไป และถูกละเลยมาเป็นเวลานาน หวังที่จะนำแผ่นตำราจารุกรูปผีนี้ออกจัดแสดงต่อไปในอนาคต
พิพิธภัณฑ์ได้รับสิ่งแผ่นดินดิบชิ้นนี้มาในศตวรรษที่ 19 แต่ยังไม่เคยนำขึ้นมาจัดแสดง มันมีขนาดเล็กเท่ากับชนาดของฝ่ามือ มีคำแนะนำและวิธีอย่างละเอียดในการกำจัดผีที่มารบกวนทำให้มนุษย์วุ่นวาย รู้สึกว่าโดนก่อกวน ส่วนภาพนั้นจะมองเห็นได้เมื่อมองจากด้านโดยใช้แสงสว่างส่องลงมาให้เกิดร่องเงาที่ชัดเจนเท่านั้นจากคำแนะนำที่จำหลักเอาไว้ แนะนำให้หมอผีทำรูปแกะสลักของชายและหญิง เตรียมเบียร์สองเหยือก และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ให้กล่าวมนตร์พิธีกรรมเพื่ออัญเชิญเทพชามาช เทพแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งมีหน้าที่นำผีมาสู่ยมโลก ฟินเคิลกล่าวว่ามันอาจเป็นพิธีไล่ยผีไปสิงสู่ที่ตุ๊กตาแทนที่จะสิ่งร่างคน
บรรทัดสุดท้ายของข้อความนี้กระตุ้นให้ผู้อ่าน
“อย่ามองไปข้างหลัง!”
ซึ่งคำเตือนนี้น่าจะหมายถึงการสั่งให้ผีที่สิงในรูปตุ๊กตาอย่าได้มองกลับมายังโลกนี้เมื่อกำลังเดินทางไปยังยมโลก แต่ก็อาจหมายถึงคำสั่งอื่นๆ ระหว่างการทำพิธีไล่ผีก็เป็นได้
ส่วนภาพที่เห็นในแผ่นดินดิบคือภาพของวิญญาณกำลังถูกชักนำไปยังปรโลก ฟินเคิลกล่าวว่าภาพวาดนี้น่าจะทำโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ที่มีทักษะสูงในการวาดภาพด้วยดินเหนียว แผ่นดินดิบนี้อาจถูกเก็บไว้ในห้องสมุดของหมอผีหรือในวัด
ทั้งนี้ อารยธรรมเมโสโปเตเมียนิยมจารึกเรื่องราวและวาดภาพลงในแผ่นดินดิบ โดยการจารึกจะใช้ก้านอ้อมาตัดปลายให้แหลมทำเป็นปากกา จากนั้นกดรูปอักษรลงบนแผ่นดินเหนียวที่ยังเปียกหมาดๆ จากนั้นปล่อยให้แห้งเป็นดินดิบ ทำให้พวกมันคงทน และปัจจุบันนักโบราณคดีสามารถพบ “เอกสาร” อายุหลายพันปีที่ทำจากดินดิบเป็นจำนวนมากชาวเมโสโปเตเมียโบราณเชื่อในชีวิตหลังความตาย เชื่อว่ามีเป็นดินแดนที่อยู่ใต้โลกของเราซึ่งมีความหมายว่า “เบื้องล่างมาก” ซึ่งเชื่อกันว่าทุกคนจะต้องไปที่นี่หลังจากความตาย โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมหรือการกระทำใดๆ ในช่วงที่ยังมีชีวิต ความเชื่อชาวเมโสโปเตเมียต่างจากนรกในศาสนายุคใหม่ เช่นศาสนาคริสต์ โดยถือว่าปรโลกไม่ใช่สถานที่ที่มีการลงโทษหรือรางวัลอย่างไรก็ตาม สภาพของคนตายแทบจะไม่ถือว่าเหมือนกับชีวิตที่เคยมีความสุขบนโลกมาก่อน คนที่ตายแล้วเป็นเพียงผีที่อ่อนแอและไม่มีอำนาจ ในตำนานเรื่องเทพีอิชตาร์มาสู่โลก เล่าเรื่องใต้พิภพเล่าว่าพวกผีนั้น “มีผงธุลีเป็นอาหารและดินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พวกเขาไม่เห็นแสงสว่าง สถานที่ซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ในความมืด”
ติดตามเรื่องราวตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอน : รีวิวเรื่องตำนานสิ่งลี้ลับเรื่องผี
สามารถติดตามเรื่องราวในตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอนได้เพิ่มเติมที่แฟนเพจของเรา : เรื่องลี้ลับ