STORYREVIEW
ตำนาน เรื่องหลอน เรื่องลี้ลับ 2023

กําแพงหิน”Sacsayhuaman”

กําแพงหิน

กําแพงหิน”Sacsayhuaman” หินขนาดยักษ์ของป้อมปราการบนยอดเนินใน Cusco เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีถึงเทคนิคการก่อสร้างอันเฉลียวฉลาดของชาวอินคาสำรวจเข้าไปในอุทยานโบราณคดีซึ่งห่างออกมาจากใจกลางเมือง Cusco ไม่ไกล เพื่อชมซากปรักหักพังของกำแพงหิน Sacsayhuaman วัดและป้อมปราการหินขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่บนเนินเขาชันที่มองเห็นวิวทั่วตัวเมือง และแสดงถึงความเป็นเลิศทางวิศวกรรมของชาวอินคา มาที่นี่เพื่อสัมผัสพิธีกรรมอินคาดั้งเดิม และชื่นชมวิธีการก่อสร้างโครงสร้างนี้ สังเกตบล็อกหินปูนขนาดใหญ่ที่วางพอดีกันโดยไม่ต้องใช้ปูนในยุครุ่งเรือง Sacsayhuaman ประกอบด้วยอาคารและหอคอยหิน 3 หลังสำหรับทหารถึง 5,000 นาย หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลาย สถานที่แห่งนี้จึงถูกใช้เป็นที่ขุดหิน ปัจจุบันสิ่งที่หลงเหลือมีเพียงกำแพงรูปฟันปลาสามแถว เดินชมรอบๆ แล้วคุณจะต้องประทับใจกับหินขนาดใหญ่ยักษ์ที่พบในซากปรักหักพังอินคา หินบางก้อนสูงกว่า 3 เมตรและหนักกว่า 91,000 กิโลกรัม โดยหินที่ใหญ่ที่สุดสูงถึง 8.5 เมตรเลยทีเดียวสำรวจงานหินของชาวอินคา โดยเฉพาะความพอดีกันของบล็อกต่างๆ ที่อยู่ในรูปร่างแตกต่างกันออกไป สังเกตวงแหวนขนาดใหญ่

โคลอสเซียม”Colosseum”

โคลอสเซียม

โคลอสเซียม”Colosseum” โคลอสเซียม (Colosseum) หรือ ทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (Flavian Amphitheatre เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ใจกลางกรุงโรม ประเทศ อิตาลี เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์นั้นจะมีลักษณะเป็นรูปเหมือนกับวงกลมก่อสร้างด้วยอิฐและหินทรายวัดขนาดโดยรอบจะได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการคิดค้นการออกแบบได้อย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี ประวัติของโคลอสเซียม สถานที่ ที่ชื่อว่า โคลอสเซียม  นั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเวสปาเรียน จักรพรรดิโรม พระองค์เริ่มครองราชย์ในปีคริสศักราช 69 และด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มการก่อสร้าง Mega Projectขึ้น และโคลอสเซียมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นและ

ทัชมาฮาล

ทัชมาฮาล

ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ หรือ สุสานแห่งความตายของประชาชน เมื่อไม่นานมานี้เราได้ฟังพระผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “อนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาล” ว่าที่แท้จริงแล้วอนุสรณ์สถานแห่งนี้นั่นเป็นอนุสรณ์แห่งความรักหรือความตายกันแน่ “ทัชมาฮาล” 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แห่งประเทศอินเดีย สถานที่นี้คนทั่วไปต่างรู้กันว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ เกิดจากความรักที่ไม่ลืมหูลืมตาและความเศร้าที่สุดแสนจะคณานาของจักรพรรดิชาห์ ชหาน กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล ที่ปกครองอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พระเจ้าชาห์ ชหาน ได้พบกับบุตรสาว อรชุมันท์ พานุ เพคุม บุตรสาวของรัฐมนตรีเมื่ออายุ 14 พรรษา และหลงรักนางตั้งแต่แรกเจอต่อมาในอีก 5 ปี พระองค์และอรชุมันท์ พานุ เพคุมก็ได้อภิเษกสมรสกันในปี พ.ศ.2155 นับตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ก็ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย ตลอดระยะที่อยู่ร่วมกันพระมเหสี หรือนามที่พระเจ้าชาห์ ชหาน ตั้งให้ว่า “มุมตัช มาฮาล” อันแปลว่าอัญมณีแห่งราชวัง เป็นภรรยาที่สุดแสนประเสริฐ ทั้งติดตามพระเจ้าชาห์ ชห

ความเป็นมาหอไอเฟล

ความเป็นมาหอไอเฟล

ความเป็นมาหอไอเฟลแห่ง “PARIS” ความฝันของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน คงอยากจะได้ไปสัมผัสหอไอเฟลกันอย่างแน่น หอไอเฟล เป็นสิ่งก่อสร้างสุดแสนจะมหัศจรรย์ที่เหล่านักเดินทางอยากจะไปเยี่ยมเยือน หอไอเฟล เป็นหอที่เป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ เพราะ ไม่ว่าจะพูดถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วละก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะนึกถึงหอไอเฟลอย่างแน่นอน และ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลของหอไอเฟลมาให้พวกท่านได้ดูกันแล้วเชิญอ่านกันเลย หอไอเฟล (ในภาษาฝรั่งเศส: Tour Eiffel, หรือ ตูร์แอแฟล) เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย ชื่อของหอไอเฟล มีที่มาอย่างไร หอไอเฟลนั่นเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปีคริสศักราช 1889 (Exposition universelle de Pari

โบสถ์แห่งแรกของโลก”GobekliTepe”

โบสถ์แห่งแรกของโลก

โบสถ์แห่งแรกของโลก”GobekliTepe” นักโบราณคดีค้นพบว่าที่โบราณสถาน Göbekli Tepe ในประเทศตุรกีซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสร้างมานานกว่า 11,000 ปีโดยมนุษย์ยุคหิน มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามนุษย์ยุคนั้นมีความรู้ด้านเรขาคณิตดีมากอย่างน่าประหลาดใจ ในอดีตนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา และนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เคยคิดว่า การปฏิรูปอารยธรรมได้เกิดขึ้น ณ สถานที่หนึ่งเดียวก่อน คือที่ Mesopotamia ซึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ Tigris กับ Euphrates และอยู่ทางใต้ของอิรักในปัจจุบันจากนั้นอารยธรรมใหม่นี้ก็ได้แพร่สู่อินเดีย ยุโรป จีน ฯลฯ ดังนั้นนักโบราณคดีในอดีตจึงเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบนโลกได้ผลักดันให้มนุษย์รู้จักทำเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ แต่การค้นคว้าทางโบราณคดีในปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นว่า การปฏิรูปด้านอารยธรรมของมนุษย์ได้เกิดขึ้นในหลายสถานที่และในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ใช่โดยอิทธิพลของสภาวะอากาศ กลับเป็นโดยอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น นั่นคือ ศาสนา Gobekli Tepe อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศตุรกี ในบริเวณจุดสูงสุดของเทือกเขา ที่อยู่ทางเหนือของเมือง Şanlıurfa จ

สิ่งมหัศจรรย์เปตรา

สิ่งมหัศจรรย์เปตรา

สิ่งมหัศจรรย์เปตรา Petra เปตรา (ภาษาอังกฤษ : Petra, จาก ภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ; อาหรับ: البتراء) คือ นครหินที่แกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเดดซีกับอ่าวอะกาบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อโยฮัน ลูทวิช บวร์คฮาร์ท นักสำรวจชาวสวิส เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปีพุทธศักราช 2355 (คริสศักราช 1812) นครเปตราได้รับการขึ้นลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พุทธศักราช 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า “เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ” ในภาษาอังกฤษกล่าวไว้ว่า (one of the most precious cultural properties of man’s cultural heritage) ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อวันที่ 7 เดือน กรกฎาคม ปี พุทธศักราช 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ บันทึกประวัติ คนกลุ่มแรกที่เดินทางไปยังเปตราค

สิ่งมหัศจรรย์ชิเชนอิตซา

สิ่งมหัศจรรย์ชิเชนอิตซา

สิ่งมหัศจรรย์ชิเชนอิตซา (Chichen Itza) ประวัติชิเชนอิตซา ชิเชนอิตซา (ภาษาสเปน: Chichén Itzá) เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวเผ่ามายาในเขตวัฒนธรรมมีโซอเมริกา ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัน รัฐ ยูกาตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เม็กซิโก ชิเชนอิตซาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ลักษณะโดยรวมทั่วไปของชิเชนอิตซาแล้วนั่น ได้ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร มีบันไดกลาง วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า วิหารแห่งนักรบ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น รอบ ๆ ห่างออกมาทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ่งอยู่กลางเมืองที่สาธารณะและเป็นที่รวมของฝูงชน ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโกสืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากทวีปเอเชียเข้ามายังทวีปอเมริกาทางช่องแคบเบริง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อนและความมีสติปัญญาอันสูง

สิ่งมหัศจรรย์มาชูปิกชู

สิ่งมหัศจรรย์มาชูปิกชู

สิ่งมหัศจรรย์มาชูปิกชู Machu Picchu มาชูปิกชู (ภาษาสเปน : Machu Picchu), มาจูปิกจู (เกชัว : Machu Pikchu) หรือมักจะนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา (Machu Picchu) เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวเผ่าอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,430 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกคนภายนอกลืมจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อไฮแรม บิงแฮม มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปีคริสศักราช 1983 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นแหล่งมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์ วันที่ 7 เดือน กรกฎาคม ปีคริสศักราช 2007 เมืองชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางโลกของอินเทอร์เน็ต และ โทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่หลักฐานจากเอกสารโบราณจำนวนมากชี้ว่า ชื่อของมันคือ “อวยนาปิกชู” หรือ “ปิกชู” ต่างหาก ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Ñawpa Pacha ของสถาบันอาณาบริเวณศึกษาแถบเทือกเขาแอนดีส โดยทีมผู้วิจัยระบุว่าได้สืบค้นข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่นแผนที่ซึ่งระบุชื่อสถานที

ครอปเซอร์เคิล

ครอปเซอร์เคิล

ครอปเซอร์เคิล Crop Circle ครอปเซอร์เคิล (crop circle) หรือ เรียกว่า วงธัญพืช หรือ อีกหนึ่งชื่อคือ วงข้าวโพดล้ม เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบของพืชที่ได้ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจากต้นข้าวโพด โดยคำนี้รวมถึง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง วงธัญพืชล้มนี้พบได้หลายแห่งทั่วโลก ประวัติของครอปเซอร์เคิล Crop Circle กลางดึกคืนหนึ่งในปีคริสศักราช 1972 ณ ประเทศอังกฤษ นาย อาเทอร์ ชัตเติลวูด (Arthur Shuttlewood) กับ นาย บริซ บอนด์ (Bryce Bond) ได้ซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อทำการเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณแถวนั้นมานานเกือบทศวรรษมาแล้ว ซึ่งเชื่อกันว่ามันคือยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr) ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรา

ตำนานโมอาย

ตำนานโมอาย

ตำนานโมอาย จุดเริ่มต้นของตำนานโมอาย โมอายนี้เป้นรูปปั้นอยู่บนเกาะอีสเตอร์นี่แหละ ซึ่งเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ซึ่งชื่อของเกาะอีสเตอร์นี้มาจากการที่นักสำรวจคนแรกที่ค้นพบเกาะนี้เขาเดินทางมาในวันอีสเตอร์ในปี คริสศักราช 1722 ทำให้เขาได้ตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า เกาะอีสเตอร์ นั่นเอง มีตำนานเล่าขานกันว่า โมอายบนเกาะนี้เนี่ยเกิดจากการที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นได้สร้างรูปปั้นหินขึ้นมา ซึ่งก็คือโมอายนี่เอง และเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้จนหมดสิ้น  ทำให้ผู้คนอดอยาก จนแทบจะเกิดการสูญสิ้นเผาพันธุ์ของคนบนเกาะเลยทีเดียว ซึ่งจากตำนานเนี่ยเขายังบอกอีกด้วยว่ารูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน เพื่อใช้เป็นตัวแทนของบรรพุบุรษที่ล่วงลับไป ทำให้บนเกาะอีสเตอร์นี้มีรูปปั้นโมอายมากกว่า 900 ตัว ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ หนัก 82 ตันก็มี และตัวที่ยังสร้างไม่เสร็จนี่มีขนาดตัวถึง 21 เมตร หนัก 270 ตันกันเลยทีเดียว เป็นคำถามที่คาใจคนสมัยก่อนยาวจนถึงสมัยนี้เลยล่ะ เพราะดูจากวิทยาการในยุคนั้นแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เราจะเคลื่อนย้ายหินหนักขนาดนี