STORYREVIEW
ตำนาน เรื่องหลอน เรื่องลี้ลับ 2023

เทพแห่งดวงจันทร์”Khonsu”

เทพแห่งดวงจันทร์

เทพแห่งดวงจันทร์”Khonsu” คอนซู เป็นหนึ่งในเทพเจ้าโบราณของชาวอียิปต์ซึ่งมีเรื่องเล่าถึงที่มาหลากหลายแบบ แตกต่างกันไปตามท้องที่ และยุคสมัย บ้างก็ว่าเป็นบุตรแห่งเทพอมุน และมุต บางเวอร์ชั่นก็ว่าเป็นโอรสของเทพีฮาธอร์ และเทพจระเข้โซเบ็ก ชื่อของคอนซูนั้นยังมีความหมายว่า นักเดินทาง ด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ส่องแสงนำทางในยามค่ำคืน ชาวอียิปต์จึงนับถือบูชาท่านให้ช่วยคุ้มครองเมื่อต้องเดินทางข้ามทะเลทราย รวมถึงเป็นผู้ปราบปีศาจ และขับไล่วิญญาณร้ายด้วย   สำหรับรูปร่างลักษณะของเทพคอนซูนั้นจะมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือร่างกายเป็นมนุษย์ แต่สวมหัวนกเหยี่ยวหรือนกอินทรี มีสัญลักษณ์จานพระจันทร์เสี้ยว และจานดวงอาทิตย์อยู่เหนือหัว ในยุคแรกๆ ลักษณะท่านจะดูดุๆ หน่อย เพราะชาวบ้านจะเคารพในฐานะของเทพผู้คุ้มครอง กระทั่งในยุคหลังๆ หรือยุคอาณาจักรใหม่ ก็เริ่มมีผู้คนนับถือมากขึ้น และมีการปั้นรูปลักษณ์ของท่านอีกแบบหนึ่ง คือไม่สวมหัวนกแล้ว แต่มีปอยผมด้านข้างมาแทน รวมถึงมีการนับถือท่านในฐานะผู้รักษาอาการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นมาด้วย ถึงความสามารถจะเก่งกล้าสามารถเพียงไหน แต่คอนซูเองก็เคยพ่ายแพ้ให้แก่ ธอธ เทพแห่งค

เทพเจ้าแมว”Bastet”

เทพเจ้าแมว

เทพเจ้าแมว”Bastet” เทวีบัสเตต เป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ ความเชื่อกล่าวไว้ว่า นอกจากแมวจะเป็นสัตว์ที่มีไว้จับหนูในโรงนาแล้ว แมวยังทำหน้าที่จับหนูบนเรือสินค้าได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมาว่า เมื่อเรือเดินสินค้าเข้าเทียบท่า แมวจึงเดินลงไปจากเรือ และไม่ได้กลับขึ้นเรืออีก ซึ่งเป็นผลให้แมวถูกขนายพันธุ์ไปทั่วโลกได้นั่นเอง ชาวอียิปต์โบราณนั้นนับถือแมวเป็นอย่างมาก หากผู้ใดฆ่าแมวจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก และถือว่าแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของอียิปต์โบราณ หากบ้านใดมีแมวเสียชีวิตในบ้าน จะต้องนำเอาศพแมวเหล่านั้นไปทำมัมมี่ด้วย (ความเชื่อเดิมกล่าวไว้ว่า มัมมี่คนจะทำกับบุคคลที่เป็นราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น) ซึ่งหากคุณต้องการเห็นมัมมี่แมว สามารถหาดูได้ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆในประเทศอังกฤษ ด้วยความเชื่อดังกล่าวนี้ จึงทำให้บุคคลที่ต้องการยึดอำนาจการปกครองอาณาจักรอียิปต์โบราณ ออกอุบาย “อุ้มแมวไปรบ” ซึ่งส่งผลให้พวกทหารอียิปต์ไม่สามารถสู้ศัตรูได้ (แมวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรบ แต่อียิปต์ไม่ได้ล่มสลายเพราะแมว) และแม้ว่าอียิปต์โบราณจะหมดยุคไปแล้ว แต่ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนก็ยังคงนับถือบูชาแมวเช่นเ

เทพแห่งดวงอาทิตย์ของอียิปต์”RA”

เทพแห่งดวงอาทิตย์ของอียิปต์

เทพแห่งดวงอาทิตย์ของอียิปต์”RA” รา หรือ หรือ อาเมน-รา หรือ อามอน-รา คือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ในตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ของอียิปต์ โบราณสัญลักษณ์ของเทพราคือวงกลมหนุนอยู่บนเรือ แต่ส่วนมากมักเป็นมนุษย์ พระเศียรเป็นนกเหยี่ยว เชื่อว่าถือกำเนิดมาจากแม่น้ำแห่งเทพนุน กายล้อมรอบด้วยกลีบดอกบัว ทุกวันเมื่อเข้าสู่ราตรีกาล เทพราจะกลับมาบรรทมในดอกบัวนี้ สัญลักษณ์ของพระองค์เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า นกเบนนู (Bennu bird) เกาะที่ยอดพีระมิด ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงอาทิตย์ เทพราเป็นดั่งบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทรงสร้างเทพชู เทพแห่งลม เทพีเตฟนุต เทวีแห่งสายฝน เทพเกบ เทพแห่งปฐพี เทพีนัต เทวีแห่งท้องฟ้าและ เทพฮาปี เทพแห่งแม่น้ำนิลนาม เทพรามีหลายพระนามด้วยกันคือ ในตอนเช้ามักถูกเรียกว่า เฆปรี (Khepri) หรือ เฆเปรา (Khepera) เรียกว่าราในตอนกลางวัน และตุม (Tum) หรืออาตุม (Atum) ในตอนเย็น   เทพรา จะเสด็จออกจากเมืองเฮลีโอโปลิสพร้อมกับเหล่าเทพเจ้า โดยใช้เรือสุริยันเป็นยานพาหนะ เพื่อตรวจเยื่ยมราษฎรในแคว้นทั้ง 12 แคว้น ทำให้เกิดแสงอาทิตย์ตลอด 12 ชั่วโมงใน 1 วัน และในเวลากลางคืนพระองค์จะท่องไปในแด

ลูซิเฟอร์”Lucifer”

ลูซิเฟอร์

ลูซิเฟอร์ (Lucifer) เทวดาตกสวรรค์  ลูซิเฟอร์ (Lucifer) หนึ่งในตำนานที่มีชื่อเสียงมากในตำนานของตะวันตก ทั้งในตำนานกรีกและคริสต์ศาสนาเพราะว่าเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายและมีตำนานมากมาย ชื่อของเทพองค์นี้มาจากคำละติน 2 คำผสมกัน คือ “Lux” ซึ่งแปลว่า “แสงสว่าง” และ “Ferrer” ซึ่งแปลว่า ผู้นำพา เมื่อนำมารวมกันจึงมีความว่า “ผู้นำพาซึ่งแสงสว่าง” ทั้งนี้ เทพลูซิเฟอร์เป็นอดีตเทพอัคระเทวทูตผู้ถูกสร้างมาจากแสงสว่าง ยิ่งใหญ่รองลงมาจากพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ด้วยความหยิ่งผยองในอำนาจและความยิ่งใหญ่ของตน จึงทำให้ลูซิเฟอร์มีใจกบฎต่อพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้ตกสวรรค์ (Fallen Angel) และกลายมาเป็น”ปิศาจ”ในที่สุด ชาวฮิบรูมีตำนานว่า ลูซิเฟอร์ถูกซาตานยุแยง เนื่องด้วยซาตานต้องการเป็นที่หนึ่งในจักรวาล จึงยุุยงให้เทพเจ้าองค์อื่นถูกใช้เป็นมารร้ายแทนตนเอง โดยตำนานพระคัมภีร์ฮิบรู ลูซิเฟอร์ และ ซาตานเป็นคนละคนกัน และ ซาตานถือเป็นหนึ่งในอัคระเทวฑูตที่ชื่อว่า Satan-Staniel (หรือ Samuel)ส่วนตำนานของชาวคริสต์ในไบเบิล หรือ พระคัมภีร์เก่า (The old Testament) ก็นิยามลูซิเฟอร์ แทน Helel ซึ่งมีความเชื่อโยงการมารร้านที่กล

เมืองลับแล”ชาวบังบด”

เมืองลับแล

เมืองลับแล”ชาวบังบด” ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองลับแล มีหลักฐานบันทึกไว้มากมายหลายกระแส ปัจจุบันยังไม่สามารถชำระสะสางชี้ชัดลงไปได้ว่า หลักฐานใดคือความเป็นมาที่แท้จริงของเมืองนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย เชื่อว่าบรรพบุรุษของชาวลับแล ตั้งแต่อดีตกาลน่าจะเป็นชาวเมืองแพร่ และชาวเมืองน่าน ที่หนีภัยสงคราม หรือหนีโรคระบาด จากหัวเมืองทางเหนือ มาตั้งชุมชนอยู่ในลับแล เนื่องจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่นี่เคยเป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ มีเทือกเขาล้อมรอบ มีที่เนินเขาสลับกับที่ราบ คนที่ไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ หากเข้ามามักจะหลงทางเสมอ ว่าเดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อำเภอลับแลนอกจากจะมีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจัง

ตำนานเอลฟ์”Elf”

ตำนานเอลฟ์

ตำนานเอลฟ์ Elf เรื่องราวที่เล่าขานเป็นตำนานเกี่ยวกับชนเผ่าลึกลับของชาวตะวันตกนั้นมีหลายเรื่องราวด้วยกัน ในบรรดาเรื่องเล่าเทพนิยายทั้งหลาย “เอลฟ์” ( Elf )มักจะเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ถูกพูดถึงเสมอ โดยมักจะยึดติดกับเอลฟ์ในภาพลักษณ์ที่งดงาม สง่าผ่าเผย อาศัยอยู่ในดินแดนที่มีอารยะสูงส่ง และเรื่องราวของเอลฟ์ยังถูกนำไปสร้างเป็นบทภาพยนต์ดังหลายเรื่องอีกด้วย “เอลฟ์” คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก เอลฟ์ คือ ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ อายุขัยของเอลฟ์ ในอาร์ดา (โลกของเอลฟ์) นั้นจะมีเวลาที่ผ่านไปจริงๆ กับเวลาสมมุติ ซึ่งเวลาสมมุตินั้นก็คือ ปีวาลาร์และปีตะวัน ปีวาลาร์เป็นเวลาสมมุติในแดนอามัน ส่วนปีตะวันเป็นเวลาสมมุติในมิดเดิ้ลเอิร์ธ โดยหนึ่งปีวาลาร์จะเท่ากับ 10 ปีตะวัน (โดยประมาณ) ดังนั้นเวลาที่ผ่านไปจริงๆ เมื่อนับด้วยเวลาสมมุติปี

เทพีอโฟรไดท์เทพเจ้าแห่งความรัก

เทพีอโฟรไดท์เทพเจ้าแห่งความรัก

เทพีอโฟรไดท์เทพเจ้าแห่งความรัก อโฟรไดท์ ( Aphrodite ) ( Venus) เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก  ความปรารถนา และความงาม ของกรีก ชื่ออื่นๆ ที่เรียกนอกจากนี้คือ ไคพริส (Kypris) “ไซธีเรีย” (Cytherea) ซึ่งเรียกตามสถานที่ ไซปรัส และ ไซธีรา ซึ่งเชื่อว่า เป็นที่เกิดของอโฟรไดท์ ในส่วนของศักดิ์สิทธิประจำตัวของอโฟรไดท์ คือ ต้นเมอร์เติล นกพิราบ นกกระจอก และ หงส์ โดย เทพีอโฟรไดท์ เทียบได้กับเทพีวีนัส ในตำนานของเทพเจ้าโรมัน   เทพี อโฟรไดท์ หรือ วีนัส เป็น เทวีแห่งความรัก และความสวย ความงาม มีเสน่ห์ มีความสามารถที่จะสะกดจิตเทพ และ มนุษย์ทั้งปวง ให้ลุ่มหลง โดยอาจทำให้สติปัญญาของผู้ฉลาดตกอยู่ในความโฉดเขลา    หากจะสืบสาวต้นกำเนิดของอโฟรไดท์ ที่อาจต้องสืบสาวไปไกลกว่าตำนานของกรีกเสียอีก เนื่องจากเทวี มีต้นกำเนิด มาจากดินแดน ซีกโลกตะวันออก ว่ากันว่าเป็นเทวีองค์แรกเริ่มของชนชาติฟีนีเซีย ที่มาตั้งอาณานิคมมากมายในดินแดนตะวันออก และ แถบตะวันออกกลาง ทราบกันมาว่า เทวีอโฟร์ไดท์เป็นองค์เดียวกับเทวีของชาวอัสสิเรีย กับบาบิโลเนีย ที่มีนามว่า อีชตาร์ และก็ยังเป็น องค์เดียวกับ เทวีของชาวไซโร-ฟีนิเซี่ยน ผู้มีนามว่า แอสตาร์เต จึ

เทพีอะธีนาเทพเจ้าแห่งสงคราม

เทพีอะธีนาเทพเจ้าแห่งสงคราม

เทพีอะธีนาเทพเจ้าแห่งสงคราม อะธีนา (Athena)  คือ เทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งปัญญาความรู้ความฉลาด งานหัตถกรรม เทพีอธีนา หนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส เป็นเทพีแห่งปัญญา เนื่องจากเกิดมาจากส่วนหัวของ ซุส ในขณะที่กำลังประชุมเหล่าเทพที่เทือกเขาโอลิมปัส เมื่อซุสเกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงได้ให้เฮเฟสตัสเทพแห่งการตีเหล็กใช้ขวานผ่าศีรษะออก ปรากฏเป็นอธีนาที่สวมชุดเกราะพร้อมหอกกระโดดออกมา เทพีอธีนาเป็นธิดาของเทพีเมทิส ซึ่งถูกซุสกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่ยังมีครรภ์แก่ เนื่องจากคำทำนายที่ว่าบุตรที่เกิดจากนางจะเป็นผู้โค่นบัลลังก์ของซูส แต่แม้ว่าอธีนาจะถือกำเนิดมาพร้อมกับคำทำนายนั้น พระนางก็เป็นหนึ่งในลูกรักของซุส ว่ากันว่าเฮราอิจฉาอธีนาที่ถือตัวว่าเป็นผู้กำเนิดมาจากซุสโดยตรง และนอกจากอธีนาจะเป็นเทพีแห่งปัญญาความรู้ความฉลาดแล้ว ยังเชื่อกันว่าพระนางนั้นเป็นเทพีแห่งสงครามอีกด้วย เนื่องจากเทวรูปของพระนางมักปรากฏเป็นรูปผู้หญิงที่สวมใส่ชุดเกราะ ถือโล่ห์และหอกที่มือซ้าย และถือไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะที่มือขวา โดยที่ชื่อกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ก็มีที่มาจากพระนามของนาง ชื่อเต็มของอธีนาคือ พัลลัสอธีนา  ซึ่งชื่อ พัลล

เทพโพไซดอนเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร

เทพโพไซดอนเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร

เทพโพไซดอนเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร “การกำเนิดเทพกรีก” เทพโพไซดอน เจ้าแห่งมหาสมุทร ตำนานได้กล่าวขานกันมาว่า เทพโพไซดอน เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร ก็เป็นเทพองค์ที่2แห่งภูเขาโอลิมปัส และ ได้รับกับขนานนาทว่า “สมุทรเทพ”  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงได้รับการขนานนามอีกว่า “ผู้เขย่าโลก” เนื่องจากบทบาทของพระองค์ในการก่อแผ่นดินไหว และ ผู้กำราบม้า พระองค์มักได้รับการพรรณาว่าเป็นบุรุษสูงวัย มีพระเกษาหยิกและมีพระมัสสุ สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ก็คือ 1. ตรีศูล 2. ปลา 3. โลมา 4. ม้า 5. กระทิง โดยเทพโพไซดอน มีอำนาจควบคุมครอบครองมหาสมุทร จากนั้นเทพบุตรโพไซดอน ก็กลายเป็นพระสมุทร เทพเจ้าผู้ปกครองสรรพสิ่งในมหาสมุทรรวมถึงภูตปีศาจในทะเล  และชาวประมงที่จับปลาเป็นอาชีพก็จะอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ด้วย ยามท้องทะเลปั่นป่วนเหล่าชาวประมงจึงเชื่อกันว่า เทพโพไซดอน พิโรธจึงจะไม่ออกทะเลเพราะกลัวพลังอำนาจของพระองค์ เทพโพไซดอนจึงมีฉายาว่า”ผู้เขย่าขวัญโลก” การกำเนิดเทพเจ้าโพไซดอน สรุปข้อมูลครอบครัวและพี่น้องโพไซดอน โพไซดอนได้กำเนิด เป็นบุตรของ โคนอส และ ลีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมดแล้วรวมถึง 5

ตำนานกรีกชนเผ่ากินบัว”Lotus eater”

ตำนานกรีกชนเผ่ากินบัว

ตำนานกรีกชนเผ่ากินบัว”Lotus eater” ชนเผ่ากินบัว เป็นชนเผ่าหนึ่งที่ปรากฎในตำนานเทพกรีก ที่อยู่อาศัยไม่ค่อยแน่ชัดนักบอกเพียงแต่ว่าอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าผลไม้หรือดอกบัวบนเกาะแห่งนี้หากกินเข้าไปจะตกอยู่ภวังค์(เหมือนโดฟยา) หลงลืมแทบทุกสิ่งและอยากกินต่อหากเคยได้กินเข้าไปแล้ว โดยผู้ที่พบชนเผ่านี้เป็นผู้แรกก็คือวีรบุรุษโอดิสซิอุส เรื่องชนเผ่ากินบัวนี้เป็นที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงพอสมควร เพราะต่อมาบิดาแห่งประวัติศาสตร์เฮโรโดตัส ได้ออกค้นคว้าและทำการพิสูจน์ต่างๆ จนพบว่าชนเผ่านี้มีอยู่จริงๆโดยอ้างว่าอยู่ที่ชายฝั่งหนึ่งของประเทศลิเบีย   ในตำนานเทพเจ้ากรีกที่บัวเสพ  มีการแข่งขันของผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะครอบงำโดยต้นไม้บัวพืชที่มีตัวตนพฤกษศาสตร์คือความไม่แน่นอน ผลไม้ดอกบัวและดอกไม้เป็นอาหารหลักของเกาะและเป็นยาเสพติดทำให้คนที่อาศัยอยู่ในการนอนในที่เงียบสงบไม่แยแส หลังจากที่พวกเขากินดอกบัวแล้ว พวกเขาจะลืมบ้านและคนรักของพวกเขา และเพียงแต่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้กินดอกบัวของพวกเขา บรรดาผู้ที่กินพืชนั้นไม่เคยสนใจที่จะรายงานและไม่กลับมา ในหนังสือ Odyssey เล่มที่ 9 โอดิสสิอุสบอกว่