สวนไมร์เทิลส์ สวนแห่งโศกอฏาตกรรม
สวนไมร์เทิลส์ สวนแห่งโศกอฏาตกรรม ตั้งอยู่ในเซนต์ฟรานซิสวิลล์ รัฐหลุยเซียน่า ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนใต้สุดของอเมริกาซึ่งมีฤดูร้อนที่อบอุ่น แต่อากาศที่อบอุ่นที่ว่านั้น มันอบอ้าวไปด้วยวิญญาณของทาสที่ทำงานหนักเกินไปและได้พบกับเจ้านายที่โหดเหี้ยม ด้วยความโอ่อ่าตระการตารอบเฉลียง ตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน และห้อง 20 ห้อง ตั้งอยู่บนพื้นที่สูง ดูเหมือนป้อมปราการเมื่อคุณได้เข้าใกล้ ซึ่งคุณจะรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อได้เข้าไป ด้วยประวัติความเป็นมาที่ไม่ดีนัก ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีความน่ากลัวอยู่บ้าง พื้นที่แห่งนี้เป็นภาพจำที่น่าสยดสยอง หลังจากการตายของโคลอี้ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของคนใหม่ เธอเป็นเศรษฐีในครอบครัว และลูกทั้งห้าของเธอก็ได้เสียชีวิตจากวัณโรคภายในที่พักด้วยเช่นกัน ต่อมาบ้านหลังนี้ถูกส่งต่อไปยังลูกสาวคนหนึ่งของเธอที่รอดตาย สามีของเธอคือ มิสเตอร์วินเทอร์ เขาเป็นสมาชิกที่ภาคภูมิใจของชุมชนและมีอาชีพเป็นคุณครูที่สอนคนที่อยู่ในชุมชนแห่งนี้ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณวินเทอร์กำลังสอนอยู่ มีชายนิรนามคนหนึ่งขี่ม้าตะโกนไปหาเขา ขณะที่เขาออกมาพูดกับชายคนนี้ อยู่ๆเขาก็ได้ถูกยิงที่ระเบียงหน้าบ้านในระยะที่ว่างเปล่า เขาถ
สโมสรทหารสถานที่ผีสิงที่สวยงาม
สโมสรทหารสถานที่ผีสิงที่สวยงาม สโมสรทหารเรือทหารและกองทัพอากาศแห่งเซาท์ออสเตรเลีย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแอดิเลด เป็นหนึ่งในคลับที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย คลับแห่งนี้ถูกตั้งขึ้นตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1800 และได้รับการย้ายเข้ามาตั้งในคฤหาสน์อันแสนหรูหราเก่าแก่แห่งนี้ ในปี 1950 พร้อมกับเรื่องราวสยองขวัญที่เปิดม่านขึ้น คฤหาสน์ที่สวยงามแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1873 เพื่อใช้เป็นที่พักของครอบครัว “John Rounsevell” จนกระทั่งถึงปี 1902 เขาก็ได้เสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันหลังจากทานอาหารเช้า หลังจากนั้นคฤหาสน์แห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนมือเจ้าของอีกหลายต่อหลายครั้ง และใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ร้านถ่ายภาพรังสี สำหรับเจ้าหน้าที่สหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นหอพักและในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นที่ตั้งของสโมสรทหารเรือทหารและกองทัพอากาศแห่งเซาท์ออสเตรเลียมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวผีสาง ณ สโมสรทหารเรือทหารและกองทัพอากาศแห่งเซาท์ออสเตรเลีย แม้จะมีบันทึกการเสียชีวิตของผู้อยู่อาศัยเพียงรายเดียว แต่ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้กลับมีรายการงานเกี่ยวกับกิจกรรมอาถรรพ์มากมายอย่าง
ไคมูกิบ้านกินคน
ไคมูกิบ้านกินคน เป็นบ้านผีสิงที่อยู่ในเกาะโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าบ้านหลังนี้เป็นสถานที่สิงสถิตของปีศาจกินคนจากนิทานพื้นบ้านของประเทศญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า “คาชา” (Kasha) ที่มีความหิวกระหายเลือดเนื้อและซากศพของมนุษย์อย่างไม่รู้จักพอ เหตุการณ์นี้กลายมาเป็นประเด็น เมื่อเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องชะงักเมื่อเห็นเด็กทั้งสามคนถูกเหวี่ยงไปมารอบบ้านด้วยพลังที่มองไม่เห็น พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองเป็นเวลานานกว่าชั่วโมงกับภาพของเด็กที่ถูกบางสิ่งเฆี่ยนตีและรัดคอ เหตุการณ์นี้กลายมาเป็นประเด็นอยู่บนพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเป็นเวลานานหลายวัน! หลายปีต่อมา เด็กผู้สาวสามคนเช่าบ้านไคมูกิด้วยกัน คืนหนึ่งพวกเธอได้ยินเสียงประหลาดราวกับมีคนกำลังคุยกันอยู่และรู้สึกเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นสัมผัสแขน พวกเธอเลยเรียกตำรวจ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงพวกเธอยืนรออยู่ด้านนอกด้วยใบหน้าที่แสดงความหวาดกลัวอย่างมาก และคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไปนอนค้างที่บ้านแม่ ตำรวจเลยตามไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นรถของเด็กสาวจอดนิ่งในลานจอดรถ ในขณะที่
ประเพณีภาคใต้ผีตาโบ๋
ประเพณีภาคใต้ผีตาโบ๋ เป็นหนึ่งผีที่มีเรื่องราวความเป็นมาที่ไม่ค่อยที่จะชัดเจนนัก แต่มักมีความที่สืบต่อกันเชื่อกันว่าผีตาโบ๋ มักปรากฏตัวคล้ายกับมนุษย์ปกติ แต่ไม่มีลูกตาหรือลูกตาผลุบเข้าไปในเบ้าตาจนดูเหมือนกับไม่มีลูกตา ในบางครั้งผีตาโบ๋อาจปรากฏตัวโดยศีรษะเป็นกระดูกขาวโพลน แต่ยังคงจุดเด่นคือการไร้ลูกตาในเบ้าอยู่เหมือนเดิม เชื่อกันว่าผีตาโบ๋นั้น เป็นหนึ่งใน ผีตายโหง ที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ และวนเวียนอยู่ใกล้สถานที่เสียชีวิต ออกเดินตามหาลูกตาที่หายไป สร้างความสยดสยองให้กับผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก ผีตาโบ๋ เป็นไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นมากนัก แต่ในสมัยก่อนก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่ายอดฮิตที่ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเอาไว้ปรามเด็กดื้อ หรือเด็กที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นจนมืดค่ำว่าถ้าผีตาโบ๋มาพบเข้า จะถูกมันควักเอาลูกตาไปทำให้ตอนเด็กๆ ผู้เขียนก็หวาดกลัวผีตาโบ๋ในตอนกลางคืนอย่างมากเลยทีเดียว หมอสติวิปลาสคนหนึ่งใช้ให้ลูกน้องไปปลอมตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่ แล้วทำการหลอกผู้สายให้ขึ้นรถก่อนพาไปควักลูกตาออกเพื่อนำไปเปลี่ยนให้กับภรรยาที่ตาบอด หลังจากฆ่าควักลูกตามไปหลายศพก็ยังไม่พบลูกตาที่เข้ากันได้กับภรรยา จนกระทั่งวันหนึ่งใ
ประวัติความเป็นผีตายทั้งกลม
ประวัติความเป็นผีตายทั้งกลม ผีตายโหง ที่เสียชีวิตเมื่อตั้งครรภ์ท้องแก่ใกล้คลอด และในขณะที่กำลังคลอดลูก โดยผีตายทั้งกลมต้องเป็นการเสียชีวิตหมดทั้งแม่และลูก ถ้าหากแม่เสียชีวิตเพียงคนเดียวแต่ทารกรอดก็ต้องเรียกว่า ผีตายโหง นอกจากนี้ผีตายทั้งกลม ยังไม่จำเป็นที่จะต้องมีการสืบทายาท หรือดำรงเผ่าพันธุ์เหมือนกับผีประเภทอื่น เนื่องจากเป็นผีที่เกิดขึ้นมาจากสถานการณ์เฉพาะนั่นเอง มักจะปรากฏตัวขึ้นมาหลอกหลอนคนที่พบเห็น อาทิเช่น เมื่อเดินผ่านบ้านของผีตายทั้งกลมในตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงเพลงกลมเด็กที่ดังวังเวงแว่วมาตามสายลม หรือบางครั้งอาจจะเห็นผีตายทั้งกลมนั่งไกวเปล ยืนอุ้มลูก พร้อมกับร้องเพลงกล่อมเด็กในความมืดจนทำให้ผู้ที่พบเห็นถึงกับต้องขนลุกเกรียวไปตามกัน ในสมัยก่อนความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ล้าหลังอย่างมาก การคลอดลูกจึงกลายมาเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงตายเป็นอย่างมาก สำหรับสาเหตุที่มักทำให้เกิดเหตุการณ์ตายทั้งกลมขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้ ทำให้ไหล่กลายมาเป็นส่วนนำในการคลอด ซึ่งไหล่มีขนาดใหญ่กว่าหัวและก้นของเด็ก ทำให้การคลอดแบบนี้เสี่ยงอย่างมากทั้งแม่และเด็กเอง ในปัจจุบันหากเ
เมื่อของใช้ประจำวันกลายผี
เมื่อของใช้ประจำวันกลายผี รู้ไหมคะว่าประเทศญี่ปุ่นผีเยอะมาก บางทีเขาก็เรียกผีของเขาว่าเป็น “เทพเจ้า” อีกต่างหาก ผีที่น่ากลัวมากก็มี ผีที่เพียงแค่โผล่มาหยอกคนก็มากมาย และครั้งนี้เราจะพาไปรู้จักผีประเภทหลังกัน เป็นผีที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีเพราะเห็นอยู่บ่อยๆ ในการ์ตูน ผีชนิดนี้เดิมทีเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่พอเวลาผ่านไปก็เก่าเก็บ ไม่ได้รับการใช้งาน เมื่อพวกมันมีอายุเกินหนึ่งร้อยปี พวกมันจะมีชีวิตขึ้นมาและชอบแกล้งคนเพราะว่าการอยู่เฉยๆ ช่างน่าเบื่อ เราเรียกผีพวกนี้รวมๆ กันว่า ซึคุโมกามิ (Tsukumogami) ซึคุโมกามิปรากฏตัวกันครั้งแรกในวรรณกรรมหรือเรื่องเล่าปรัมปราในสมัยเฮอัน (ปี 794-1185) แต่จริงๆ แล้ว คนญี่ปุ่นเรียกสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ว่า ซึคุโมกามิ มาก่อนหน้านี้นานแล้วค่ะ เรื่องเล่าในสมัยก่อน เกี่ยวกับเจ้าของใช้มีวิญญาณเหล่านี้ค่อนข้างจริงจังและน่ากลัวทีเดียว เขาบอกว่าก่อนวันขึ้นปีใหม่ คนญี่ปุ่นจะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ และทิ้งข้าวของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ซึคุโมกามิ ที่ถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งรู้สึกโกรธ จึงขอร้องต่อเทพเจ้าโซคะชิน (Zokashin) ให้ทำให้พวกมันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพวกมันเคลื่
คำเตือนโบราณไม่เชื่ออย่าลบหลู่
คำเตือนโบราณไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แม้ว่าโลกปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์และด้านอื่นๆก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่า สังคมไทยเรายังมีความเชื่อที่ได้รับการสั่งสอน สืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลงเหลืออยู่ เราจะมาย้อนดูว่ามีความเชื่อคนโบราณอะไรบ้างที่เราไม่ควรลบหลู่ ห้ามเล่นซ่อนแอบเวลาเย็น ความเชื่ออันนี้ เป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยเล่นกันแล้ว นั่นคือการเล่นซ่อนหา วิธีการเล่นคือจะให้คนหนึ่งตามหาเพื่อนที่ซ่อนอยู่ การเล่นแบบนี้โบราณว่าไม่ควรเล่นเวลาเย็น หรือไปเล่นในงานศพ เพราะอาจจะทำให้ผีบังตามองหากันไม่เจอ หรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเหยียบแก้ว กระเบื้องได้ เนื่องจากมองไม่เห็น อย่าเล่นของมีคม เวลาใครถือของมีคม หรือ อาวุธอันตรายอย่างเช่น มีด ขวาน ปืน ดาบ ฯลฯ ของเหล่านี้โบราณเชื่อกันว่าอย่าถือเล่น อย่าถือเงื้อใส่กันเอง เพราะมันอาจจะทำให้เกิดผีผลักจนทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้โดยไม่ตั้งใจ อันนี้ก็เหตุจะจริงหากใครตามข่าวจะเคยเห็นเหตุการณ์ปืนลั่นใส่ครอบครัว หรือ ถือมีดแล้วลื่นไปเสียบกันก็มีมาแล้ว วันสำคัญต้องระวังตัว ในชีวิตของคนเราอย่างน้อยก็
ตำนานผีม้าบ้อง
ตำนานผีม้าบ้อง ในสมัยก่อนถ้าใครได้ยินเสียงม้าวิ่งในเวลากลางคืนจะต้องเข้าใจว่าเป็นเสียงของผีม้าบ้อง มีเรื่องเล่าว่า ผีม้าบ้องนี้เกิดจากม้าตัวหนึ่งที่ตายไปแล้ว แต่ยังอาลัยหาคู่ของมันอยู่ พอถึงเวลากลางคืนม้าตัวนี้จะออกวิ่งไปตามที่ต่างๆ เพื่อตามหาคู่ของมัน ม้าตัวนี้ก่อนที่จะตายนั้นตอนเล็กๆ เจ้าของได้เลี้ยงม้าไว้คู่หนึ่ง เวลาใดที่เจ้าของจะเดินทางก็จะต้องเอาม้าคู่นี้ไปด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่ง ม้าตัวหนึ่งเกิดล้มเจ็บไม่สามารถที่จะออกเดินทางไปกับเจ้าของได้ เจ้าของก็เลยทิ้งม้าตัวนี้ไว้และนำอีกตัวหนึ่งไป ส่วนม้าตัวที่ล้มเจ็บนั้นก็นอนรอเพื่อนของมัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเพื่อนของมันจะกลับมาหามันอีก ในที่สุดมันก็ทนความเจ็บปวด ชาวไทยวน นับเป็นอีกหนึ่งชนเผ่า ที่มีการสืบทอดรุ่น กันมาอย่างยาวนาน จนปัจจุบันนี้ ก็ยังคงมีอยู่ ถึงแม้จะน้อยก็ตาม เช่นเดียวกัน ขนบธรรมเนียม จารีตของชาวไทยวน ที่มีสืบทอดกันมาหรือผีป่า ซึ่งม้าบ้อง มีรูปลักษณ์ ของลำตัวส่วนบน เป็นมนุษย์ปกติ แต่ลักษณะ ท่อนล่างนั้นเป็นม้า ที่ชาวเหนือ ต่างก็เรียกกันว่า ผีม้าบ้องนั้นเอง ถ้าพูดถึงตำนาน เรื่องเล่าสยองขวัญ ในภาคเหนือ ของประเทศไทยแล้ว ก็สามารถ
เรื่องราวแห่งป่าอาถรรพ์
เรื่องราวแห่งป่าอาถรรพ์ ตำนานสยองขวัญที่เลื่องลือและถูกกล่าวขานกันมาช้านานสำหรับป่าแบล็คฮิลล์ ในมลรัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่คนท้องถิ่นต่างรู้กันว่า อย่าได้คิดย่างกรายเข้าไป เพราะจะไม่มีวันได้กลับออกมา เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นป่าที่สิงถิตย์ของ “แม่มดแบลร์” จนกลายเป็นเรื่องเล่าชวนขนหัวลุก ที่ส่งต่อความสยองให้กับคนที่ได้ยินได้ฟังยาวนานกว่า 2 ศตวรรษจนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของตำนานเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1785 ป่าแบล็คฮิลล์ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของเมืองแบลร์ “เอลลี่ เดคเวิร์ด” หญิงสาวผู้ถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ล่อลวงเด็กๆ นำเลือดมาทำพิธีกรรมเร้นลับจนโดนเนรเทศออกจากเมือง ต่อมาผู้ที่กล่าวหาเธอและเด็กๆ กว่าครึ่งหมู่บ้าน ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านที่เหลืออยู่ต่างหวาดกลัวและหนีออกจากเมือง โดยสาบานว่าจะไม่กล่าวถึงชื่อเธออีก ต่อมาไม่นาน ชาวบ้านกลายคนเห็นมือผู้หญิงขาวซีดกำลังลากไอลีน ทรีเคิล เด็กหญิงวัย 10 ปี ลงไปในห้วยน้ำเล็กๆ ก่อนที่ 13 วันต่อมามีกิ่งไม้รูปทรงประหลาดกั้นห้วยน้ำนั้นไว้ ซึ่งเหตุการณ์ชวนสยองในบริเวณป่าแบล็กฮิลล์ ยังคงเกิดขึ้นและเป็นที่ร่ำลือ
ผีหอคอยแห่งลอนดอน
ผีหอคอยแห่งลอนดอน นับตั้งแต่หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จในปี 1067 หอคอยได้กลายเป็นสถานที่รวมแหล่งเหตุการณ์ที่น่ากลัวและการเสียชีวิตที่น่าสยดสยอง แม้ว่าเราไม่อาจยืนยันได้ว่าภูตผีเหล่านี้มี่ตัวตนจริงหรือไม่ แต่นี่คือเรื่องราวที่น่ากลัวที่ถูกเล่าต่อกันมากมายบนอินเตอร์เน็ตในเรื่องราวของผีของบนหอคอยลอนดอน วิญญาณของเจ้าชายที่ถูกสังหาร และผีหัวขาด ในปี ค. ศ. 1483 เจ้าชายน้อยทั้งสองถูกสังหารอย่างน่าสยดยองภายในหอคอยลอนดอน การฆาตกรรมครั้งนี้ยังกลายเป็นปริศนาที่เหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่อาจแก้ได้ ผู้คนเริ่มเห็นเงาร่างของเด็กสองคนที่ยืนกุมมือกันอยู่ ในขณะที่พวกเขาล่องลอยไปมาระหว่างห้องและเดินทะลุเข้าไปในผนัง อีกเรื่องเล่าหนึ่งกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ Anne Boleyn ผู้ถูกขังในหอคอยและถูกตัดหัวในปี 1536 ผีของแอนถูกพบเห็นในรอบบริเวณของหอคอยแห่งลอนดอน กล่าวกันว่าร่างไร้หัวของเธอเดินไปมาบนหอคอยในช่วงเวลากลางคืนสร้างความตื่นกลัวให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก บริเวณที่อ้างว่าพบเห็นมากสุดใน Chapel of St Peter ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของเธอหลังจากการประหารชีวิต เรื่องสยองยังไม่จบเพียงเท่านั้นเมื่อปี 1864 มีการบั