พญาปุริสาท

พญาปุริสาท ตั้งใจสร้างตามมุมมองทางศิลปะ แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า พญาปุริสาท เป็นพญาครุฑตนหนึ่งในตำนาน หรืออาจไม่เคยได้รู้ได้ยินชื่อนี้มาก่อนคนไทยบูชา ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวัณ หรือท้าวกุเวร หนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ เทพผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาและพุทธสถานทางทิศเหนือ และเป็นอธิบดีแห่งอสูรขจัดภูติผีปีศาจ ในตำนานทั้งตามคติพราหมณ์และพุทธกล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณในแง่ เทพเจ้าแห่งโภคทรัพย์  อาศัยอยู่ในดินแดนมหาทรัพย์บนภูเขาไกลาส มีสระโบกขรณี มีบัวอันหอมประหลาด พรั่งพร้อมด้วยบริวารคือ เหล่ายักษ์และรากษสนับล้านตน ผู้คนจึงหันมาบูชาท้าวเวสสุวรรณเพื่อส่งเสริมตนเรื่องโชคลาภ นอกเหนือจากพุทธคุณที่ช่วยขจัดภัยให้แคล้วคลาดปลอดภัยในปีเดียวกันอาจารย์โอเล่ร่วมกับพิธีกรและศิลปินที่มีความเชื่อความศรัทธาจัดสร้างประติมากรรม องค์พญาปุริสาท และบวงสรวงตามโบราณประเพณีมอบถวายให้แก่วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วัดสำคัญที่เต็มไปด้วยความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อท้าวเวสสุวรรณ สร้างแล้วเสร็จและจัดพิธีบวงสรวงถวายพญาปุริสาท ในเดือนมกราคม 2565  ปัจจุบันพญาปุริสาทประดิษฐานอยูข้างท้าวเวสสุวรรณ

ฟลายอิงดัตช์แมน

The Flying Dutchman ฟลายอิงดัตช์แมน The Flying Dutchman เป็นตำนานที่ถูกเล่าขานมานานสำหรับนักเดินเรือชาวยุโรป เกี่ยวกับเรือต้องคำสาปให้แล่นไปชั่วนิจนิรันดร์ฟลายอิงดัตช์แมนเป็นเรื่องเล่าขานในหมู่ชาวประมงในยุคกลาง ว่าเป็นเรือผีสิงที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ มักถูกพบเห็นในคืนที่มีหมอกหนาทึบ บางครั้งพบเห็นเป็นแสงประหลาดในเวลากลางคืน ว่ากันว่าเป็นแสงที่ลูกเรือลำนั้นส่งสัญญาณกับผู้พบเห็น เพื่อฝากข้อความถึงแผ่นดินใหญ่หรือคนรู้จัก ต้นตอของเรื่องราว เล่ากันว่าเกิดจาก Hendrick Van Der Decken กัปตันเรือชาวดัตช์ (หรือเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน) ล่องเรือไปบริเวณแหลมกู๊ดโฮปแล้วเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้ายเป็นภัยพิบัติที่อาจทำให้เขาและลูกเรือไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้ พายุที่ซัดกระหน่ำจนกัปตันเรือรู้ว่าตนและลูกเรือกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงสาบาน หากเขามีชีวิตรอดไปเทียบท่า Table Bay ในสภาพพายุพัดแรง แม้จะทำให้เขาต้องแล่นเรือไปตลอดตราบจนถึงวันสิ้นโลกเลยก็ตาม (ถึงจุดนี้ บางสำนวนอ้างว่าเป็นคำสัญญากับภูตผีปีศาจ บางสำนวนก็อ้างว่า การเดินเรือฝ่าพายุของ Van Der Decke

ตำนานแมงสี่หูห้าตา

ตำนานแมงสี่หูห้าตา แมงสี่หูห้าตาในตำนานกล่าวไว้ว่ามีลักษณะคล้ายหมี รูปร่างอ้วนเตี้ย มีขนยาวๆสีดำ มีสี่หู ตาสีเขียวห้าตา ความพิเศษคือกินถ่านไฟเป็นอาหาร อุจจาระออกมาเป็นทองคำ ในตำนานครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา จังหวัดลำพูน เชื่อมโยงจำนวนสี่หูและห้าตา เข้ากับหลักคำสอนทางพุทธศาสนาแสดงถึงหลักธรรมพรหมวิหาร 4 และศีล 5เรื่องราวของแมงสี่หูห้าตานี้ เล่ากันเป็นนิทานที่คนโบราณมักเล่าให้ลูกหลานฟังกันสืบมา เริ่มกันตั้งแต่กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีครอบครัวยากจน 3 พ่อแม่ลูก พระเอกของเรื่องชื่อทุกคตะ แม่ตายตั้งแต่เด็กเป็นขอทานยากจนต้องไปขอสิ่งของจากคนต่างๆจนชาวบ้านเอือมระอา พอโตขึ้นมาพ่อไปฝากไว้กับผู้ใหญ่บ้านให้เลี้ยงควาย แล้วสั่งเสียไว้ว่าเมื่อพ่อตายแล้วให้เอาไปฝังจนกว่าหัวกระโหลกของพ่อจะหลุดแล้วให้เอาไปบูชาที่บ้าน อายุครบ 17 ปีเมื่อไหร่ ให้ลากหัวกระโหลกพ่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทางขึ้นดอยเขาควาย ถ้าหัวกระโหลกพ่อไปติดอยู่ตรงไหนให้เอาบ่วงแร้วไปดักจับสัตว์ตรงนั้น ทุกคตะทำตามพ่อบอกทุกอย่างจนจับแมงสีดำมีสี่หูห้าตาเอาไว้ได้ พยายามเอาข้าวให้กินก็ไม่ยอม จนหน้าหนาวก่อกองไฟมีถ่านกระเด็นออกมา แมงสี่หูห้าตาก็กัดกินเ

เวนดิโก

The Wendigo เวนดิโก เป็นความเชื่อในคติชนพื้นเมืองอเมริกัน Wendigo เป็นความเชื่อร่วมกันของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Great Lakes เช่น Kerry, Inu และ Sautec Wendigos คล้ายกับซอมบี้ เป็นปีศาจป่าที่เข้าสิงคนเพื่อกินเนื้อมนุษย์ โดยคิดว่า เวนดิโก้อยู่ในร่างมนุษย์ แต่มีร่างกายซูบผอม ผิวซีดเหมือนศพ ดวงตาจมน้ำ และริมฝีปากแห้งที่มักมีเลือดซิบ มันมีงาสีเหลืองและลิ้นที่กระดิกยาว นอกจากนี้ เมื่อย่อยสลายหมดแล้ว Wendigo จะส่งกลิ่นเหม็นคล้ายซากศพออกมา เวนดิโก้สามารถเติบโตได้ในระยะเวลาหนึ่งและมีร่างกายที่ใหญ่โตสามารถกินเนื้อมนุษย์ได้ แต่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด เวนดิโกมักถูกพรรณนาเป็นครึ่งมนุษย์ ครึ่งสัตว์ มีเขากวาง หรือในภาพวาดสมัยใหม่ ศีรษะของเวนดิโกมักถูกพรรณนาเป็นกะโหลกของกวาง แต่ลักษณะเหล่านี้ไม่ปรากฏในความเชื่อดั้งเดิมของชาวอะบอริจิน ตัวอย่างเช่นในลักษณะของชนเผ่าอินเดียนแดงบางเผ่ามีลักษณะคล้ายกับ Wendigo ที่รายงานทางตอนเหนือของมินนิโซตา เรื่องราวของเวนดิโกที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในปี 1879 ในอัลเบอร์ตา แคนาดา ซึ่งจับตัวมือปราบที่ชื่อสวิฟต์ รันเนอร์ได้ เขาถูกตัดสิ