อนุสาวรีย์พระเยซูแห่งเมืองบราซิล
กริชตูเรเดงโตร์ เป็นอนุสาวรีย์พระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ เป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนไปเยือนดินแดนแห่งศรัทธาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมเก่าแก่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรูปปั้นนี้มีความสูงถึง 38 เมตร (รวมฐาน) กว้าง 28 เมตร วัดจากปลายแขนขวาไปจนถึงปลายแขนซ้ายและมีน้ำหนักมากถึง 635 ตันเลยทีเดียว
ประวัติความเป็นมาของคริสต์ รีดีมเมอร์
คริสต์ รีดีมเมอร์ หรือ กริชตูเรเดงโตร์ ในภาษาโปรตุเกส เป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยืนในลักษณะกางแขน ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล(Brazil) โดยที่มาของการก่อสร้างรูปปั้นนี้เกิดขึ้นในปีค.ศ.1850 เมื่อมีบาทหลวงท่านหนึ่งได้มีแนวคิดที่จะสร้างรูปปั้นทางศาสนาขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ชาวคริสต์ในประเทศบราซิล(Brazil) และ ให้กับผู้ที่มาเยือน แต่โครงการนี้ไม่ได้รับการยอมรับ
จนกระทั่งถึงปี 1920 กลุ่มชาวคริสต์ได้รื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และล่ารายชื่อจำนวนมากเพื่อของบประมาณในการสร้างจากรัฐบาล โดยรูปแบบที่ผ่านการคัดเลือกคือรูปปั้นพระเยซูผายมือออก แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มครองและสันติสุข โดยรูปปั้นนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี 1922 และใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 9 ปี ได้รับการออกแบบโดยพอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์และควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดโดยเอโตร์ ดาซิลวา กอชตา วิศวกรชาวบราซิล
ท่องเที่ยวเมืองริโอเดจาเนโเพื่อชื่นชมรูปปั้นพระเยซูกางแขน
ปัจจุบันรูปปั้นพระเยซูคริสต์เป็นรูปปั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีอายุเกือบ 90 ปี เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเมืองริโอ เดอ จาเนโร และเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาของชาวบราซิล เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลกที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึงปีละ 2 ล้านคน โดยในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 คริสต์ รีดีมเมอร์ได้ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะไปชมความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นพระเยซูที่เมืองริโอ สามารถเดินทางไปยังคริสต์ รีดีมเมอร์ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งทางรถไฟ รถตู้ แท็กซี่หรือไปกับทัวร์ ซึ่งโดยปกติแล้วการเดินทางจะใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที แต่ยิ่งเข้าใกล้รูปปั้น บอกเลยว่าทุกคนจะต้องตะลึงในความยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกตอนที่ได้ไปยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเลย เป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่ ล้ำค่าและควรค่าแก่การไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งตื่นเต้น ตื้นตัน บรรยายความรู้สึกได้ไม่หมด
ส่วนช่วงเวลาที่ขอแนะนำ ด้วยเพราะในทุกๆ วันจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไปเที่ยวที่นี่ ช่วงเวลาเช้าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด นอกจากจะได้ภาพที่สวยแล้ว อากาศยังเย็นสบายและผู้คนไม่แออัดมากนัก สามารถเก็บภาพความประทับใจได้อย่างที่ต้องการ ที่สำคัญจุดที่ตั้งของรูปปั้น เมื่อมองลงมาที่ด้านล่างจะสามารถมองเห็นวิวเมืองริโอได้ทั้งเมือง เป็นภาพที่สวยงามเป็นที่สุด
ความเป็นมาของรูปปั้นพระเยซู
กริชตูเรเดงโตร์ หรือ Cristo Redentor เป็นคำอ่านจากภาษาโปรตุเกส Portugal ส่วนชื่อในภาษาอังกฤษที่เราเคยเห็นหรืออาจจะพอคุ้นเคยกันบ้างก็คือ Christ the Redeemer ซึ่งรูปปั้นพระเยซูนี้ ถูกตั้งไว้ที่บนยอดเขากอร์โกวาดู Corcovado เมืองริโอเดจาเนโร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบราซิล
ความเป็นมาที่กว่าจะมาเป็นรูปปั้นนี้ เริ่มต้นในปีค.ศ.1850 เป็นต้นมา ได้มีบาทหลวงคนหนึ่ง มีแนวคิดที่จะสร้างรูปปั้นสำหรับชาวคริสต์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ชาวคริสต์ในประเทศบราซิลและผู้ที่เดินทางมายังบราซิล และเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงอิสาเบล Isabel ซึ่งเป็นลูกสาวของจักรพรรดิเปรโดที่สอง Pedro II ผู้ปกครองประเทศบราซิล แต่โครงการนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับ แต่เมื่อบราซิลเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองประเทศในปีค.ศ.1889 โครงการการสร้างรูปปั้นจึงถูกตีตกไป
จนกระทั่งในปีค.ศ.1920 กลุ่มชาวคริสต์ ได้รื้อฟื้นโครงการในการสร้างรูปปั้นพระเยซูอีกครั้ง เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวคริสต์ และเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว พวกเขาเริ่มตั้งกลุ่มในการล่ารายชื่อจำนวนมาก เพื่อของบประมาณจากทางภาครัฐใน
การขอสร้างรูปปั้นพระเยซูคริสต์
โดยในแรกเริ่มมีการนำเสนอรูปแบบต่างๆ มากมายของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ เช่น รูปปั้นพระเยซูที่ถือรูปโลกอยู่ในมือ, รูปไม้กางเขน แต่ผลงานที่ชนะเลิศ ก็คือรูปปั้นพระเยซู ในลักษณะที่ผายมือออก แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งความสันติสุข อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากการถูกออกแบบร่วมกันของศิลปินหลายๆคน
ผลงานที่ถูกเลือกคือการรวมกันของศิลปินหลายๆคน เริ่มจากของ เอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา (Heitor da Silva Costa) เป็นผู้ร่างรูปปั้นพระเยซูแต่ในมือด้านขวาถือไม้กางเขน มือด้านซ้ายถือรูปโลก
ต่อมา คาร์โล ออสวัลด์ (Carlo Oswald) ได้เป็นคนปรับแต่งแบบร่างของ เอโตร์ อีกทีหนึ่ง โดยการเปลี่ยนรูปแบบลักษณะมือของพระเยซู ให้เป็นลักษณะการผายมือแทน พอล แลนดอฟสกี (Paul Landowski) เป็นผู้สรุปแบบสุดท้ายก่อนการก่อสร้าง และเป็นผู้ออกแบบในส่วนหัวของรูปปั้นพระเยซู
การร่วมมือกันของทั้งสามคนนั้นมี เอโตร์ ดาซิลวา กอซตา เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1926 และ ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมดมากถึง 9 ปี ซึ่งระหว่างขั้นตอนการสร้างนั้น วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ต่างๆ และคนงาน ถูกนำขึ้นไปบนยอดเขาผ่านทางรถไฟ
ในการก่อสร้างนั้น ใช้งบประมาณในการสร้างถึง 250,000 ดอลลาร์ (เทียบเป็นมูลค่าเงินในปี 2019 คือ 3,600,000 ดอลลาร์ ) และรูปปั้นมีการเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1931 วันที่ 12 ตุลาคม ในปี 2008 ได้เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รูปปั้นบริเวณของนิ้วมือ คิ้ว และหัว ซึ่งต่อมาได้มีการติดสายล่อฟ้าเข้าไป ในบริเวณส่วนหัวของรูปปั้น แต่ก็ยังคงพบเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ทำให้รูปปั้นเสียหายอยู่เรื่อยๆ
จนปี 2010 ได้การมีบูรณะรูปปั้นครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมตัวสำหรับกีฬาโอลิมปิคที่ ริโอ โดยมีการซ่อมแซมโครงสร้างภายนอกทั้งหมด และเสริมเหล็กเข้าไปภายในรูปปั้นเพื่อความแข็งแรง รวมถึงทาสีกันน้ำทั่วบริเวณรูปปั้น
อย่างไรก็ตาม มีผู้ไม่หวังดี สร้างความวุ่นวายระหว่างการซ่อมแซมบูรณะ โดยการนำสีสเปรย์ไปพ้นบริเวณแขนของพระเยซู จนทางนายกเทศมนตรีและผู้คนในบราซิล ประณามการกระทำดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมต่อประเทศ จนถูกกดดันให้ออกมามอบตัว
สำหรับรูปปั้นของพระเยซูคริสต์ นั้นมีขนาดความสูงถึง 30 เมตร ไม่รวมฐานซึ่งสูงถึง 8 เมตร และความยาวของรูปปั้นจากแขนถึงแขน กว้างถึง 28 เมตร
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศบราซิล อีกทั้งเป็นแหล่งดึงดูดแก่นักท่องเที่ยวใหม่เยือนมากถึง 2 ล้านคนต่อปี และในปี 2007 กริชตูเรเดงโตร์ ได้ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย