ตำนานการเกิดฟ้าระเบิดทุ่งกุสก้า
เขตเยนิเซเยสค์ มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน พ็อดคาเมนนายา ทุงกุสก้า แถวนั้นไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ธรรมชาติแมกไม้สายน้ำ ใครจะไปรู้ ว่าที่ดี ๆ ขนาดนั้น จะถูกผู้บุกรุกจากแดนไกล มาทำให้ราบพนาสูญ
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะคุณย้อนเวลา กลับไปพบกับเหตุการณ์ระเบิดแห่งทุงกุสก้า การบุกรุกจากนอกพิภพของจริง ที่ได้ทิ้งร่องรอยปริศนา มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนหน้านั้น ที่นั่นเคยเผชิญกับสิ่งใด วิจารณญาณมาพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อม จงมาดูกันต่อดีกว่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ มันคืออะไรกันแน่
ตามเวลาท้องถิ่น ประมาณ เจ็ดนาฬิกา สิบเจ็ดนาที หากอ้างอิงตามปฏิทินมาตรฐาน มันจะตรงกับวันที่ 30 มิถุนายน ปี 1908 และจะตรงกับวันที่ 17 มิถุนายน เมื่อเทียบกับปฏิทินท้องถิ่นรัสเซีย เรื่องราวเกิดขึ้นที่นั่น เขตเยนิเซเยสค์
จากปากคำคนพื้นที่ พวกเขาสังเกตเห็นบางสิ่ง ลำแสงสีน้ำเงิน มันสุกสว่าง สว่างเกือบเท่าดวงอาทิตย์ เคลื่อนผ่านท้องฟ้า ยาวนานประมาณเกือบสิบนาที เกิดแสงวาบสว่างไปทั่วพื้นที่ ตามด้วยเสียงสนั่นราวกับปืนใหญ่ หลายคนรายงาน จุดกำเนิดเสียงดังกล่าว มันมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตามด้วยแรงกระแทก ที่เกิดจากมัน ผู้คนถึงกับล้มทั้งยืน กระจกหน้าต่างแตกกระจาย ความเสียหาย กินอาณาเขตเป็นวงกว้าง ระดับหลายร้อยกิโลเมตร
ตามบันทึก จากสถานีแผ่นดินไหวในแถบยูเรเซีย คลื่นปะทะที่เกิดจากเสียงระเปิด มันไปไกลถึงเยอรมนี เดนมาร์ก โครเอเชีย สหราชอาณาจักร อินโดนีเซียยังรู้สึก ไม่เว้นแม้แต่ ที่วอชิงตันดีซี ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในบางพื้นที่ คลื่นกระแทกจากเหตุการณ์นี้ มันรุนแรงเทียบเท่า กับแผ่นดินไหวขนาด 5.0 ในมาตราริกเตอร์
ผ่านไปไม่กี่วัน ท้องฟ้าย่านนั้นก็กลับมาปกติ จนมาถึงปี 1931 มีรายงานจากนิตยสารภูมิศาสตร์ ชื่อโวครุก สเวตา พวกเขาอ้างว่า เมื่อประมาณปี 1930 มีผู้ถ่ายภาพนี้มาได้ มันเป็นภาพถ่าย แถวบริเวณที่ราบแถวทุงกุสก้า ที่น่าจะเป็นจุดตกของลำแสง ก่อนที่มันจะหายไป พวกเขาถ่ายช่วงตอนเที่ยงคืน แต่ภาพที่ได้มา กลับสว่างจ้าราวกับตอนกลางวัน ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น หรือนี่จะเป็นอานุภาพ ที่สิ่งนั้นหลงเหลือเอาไว้
มีรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิ ตั้งแต่เหตุการณ์จบลงไป ทุกแห่งที่มันบินผ่าน อากาศจะเย็นลงผิดปกติ ซึ่งก็ได้คำอธิบาย ที่ยอมรับกันเป็นวงกว้างว่า อุณภูมิที่ลดต่ำลง มันน่าจะเป็นผลของการระเบิด อนุภาคฝุ่นที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ความโปร่งใสของบรรยากาศลดลง มันน่าจะกินเวลาหลายเดือน ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงพื้นไม่เต็มที่นั่นเอง
ตลอดช่วง 100 ปี มีบางคนตั้งสมมติฐาน เจ้าสิ่งนั้น อาจถูกส่งมาจากพระเจ้า มันมาเพื่อเตือนชาวโลก วันพิพากษากำลังจะมาถึง บางคนบอกว่าไม่น่าจะใช่ สิ่งที่เล็ดรอดชั้นบรรยากาศเข้ามา คือจานบินของมนุษย์ต่างดาวต่างหาก บ้างก็บอกว่าไม่มีอะไร นี่มันเป็นแค่ก็าซใต้ดินเกิดระเบิด บ้างก็บอกว่าเป็นดาวตกขนาดใหญ่ สงสัยว่าขนาดความกว้างของมัน น่าจะไม่ต่ำกว่า 30 เมตรเลยทีเดียว
สมมติฐานเหล่านี้ ยิ่งทำให้ทุกอย่างมืดมน เพราะเมื่อทีมสำรวจ ได้เดินทางไปจนถึงจุดที่น่าจะเป็นศูนย์กลางของระเบิด พวกเขากลับพบแต่ร่องรอยอานุภาพของมัน โดยไม่มีตรงไหนเลย ที่จะยืนยันได้ว่า ตรงนั้น คือหลุมที่เกิดจากการพุ่งชน หรือจุดปะทุของแก๊ส มีแต่ที่ราบ ๆ กับหลุมสะเก็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ซากของตัวการมันอยู่ตรงไหน อะไรกัน ?
การหาจุดเริ่มต้น จึงถูกตั้งโจทย์ขึ้นมา ในวันเกิดเหตุ มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ด้วยความที่ปี 1908 สถานที่เกิดเหตุระเบิดในทุงกุสก้า เป็นส่วนหนึ่งของไซบีเรียอันหนาวเหน็บ แถวนั้นไม่ค่อยมีมนุษย์อยู่อาศัย ทางการของรัสเซีย จึงไม่สามารถหาบุคคลใด ที่จะนำมาใช้เป็นพยานได้ซักคน จนกระทั่งผ่านมาหลายปี ถึงได้มีการพบบุคคล ที่พอจะยืนยันได้ว่า พวกเขา คือพยานปี 1930 เอส เซเมนอฟ เขาเป็นคนท้อง นักสำรวจแร่ชาวรัสเซียช่วงอาหารเช้า ข้าพเจ้า กำลังนั่งอยู่ข้างบ้าน แถว ๆ ศูนย์ไปรษณีย์วานาวารา อยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็เห็น มันอยู่ทางทิศเหนือ ตรงถนนอองกุลทุงกุสก้า ท้องฟ้าแยกเป็นสองซีก แล้วไฟก็สว่างวาบ ทั้งสูงและกว้างใหญ่ เหนือบริเวณป่า รอยแยกบนท้องฟ้าขยายใหญ่ขึ้น ด้านเหนือทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยไฟ ตอนนั้นอากาศร้อนจัด ร้อนจนข้าพเจ้าทนไม่ไหว มันร้อนเหมือนเสื้อจะติดไฟ มาจากทางเหนือที่เกิดไฟลุกโชน ข้าพเจ้าอยากฉีกเสื้อผ้าทิ้ง แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้าก็ปิดลง เกิดเสียงดังสนั่น ข้าพเจ้าถูกอะไรบางอย่าง กระแทกจนตัวลอย ออกไปสองสามเมตร ข้าพเจ้าหมดสติชั่วครู่ แล้วภรรยาก็วิ่งออกมา เธอพาข้าพเจ้า เข้าไปหลบในบ้านทันทีเสียงนั้น มันดังเหมือนปืนใหญ่ ตามด้วยเสียงเหมือนฝนก้อนหินตก แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่บนพื้น ข้าพเจ้าต้องก้มศีรษะลง เพราะกลัวจะมีหินตกใส่หัว และช่วงที่ท้องฟ้าเปิดออก เกิดลมร้อนพัดผ่านระหว่างบ้าน ไม่ต่างจากการยิงปืนใหญ่ มันทิ้งร่อยรอยไว้บนพื้นดิน มันดูเหมือนทางเดิน พืชผลเสียหายบางส่วน และต่อมา พวกเราถึงได้พบว่า หน้าต่างหลายบานแตก กุญแจเหล็กของโรงนา ถึงกับขาดกระจายออกจากกัน
รายงานสุดท้าย มาจากหนังสือพิมพ์ คราสโนยาเรตซ์ ฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 1908
ณ หมู่บ้านเคเชมสโกย วันที่ 17 เกิดเหตุผิดปกติ ในชั้นบรรยากาศ เวลา 7:43 เกิดเสียงคล้ายลมแรง ทันใดนั้น ปรากฏเสียงดังกระหึ่มสยดสยอง ตามด้วยแผ่นดินไหวเขย่าอาคาร ราวกับว่า พวกมันถูกท่อนไม้ขนาดยักษ์ หรือหินก้อนใหญ่กระแทกใส่ระรอกแรกเกิดขึ้นมา ระรอกสองก็ตามมาในเสี้ยวอึดใจ และระรอกสาม โดยระหว่างเกิดเหตุ มันจะมาพร้อมกับเสียงสั่นสะเทือน ที่ดังมาจากทางใต้ดิน คล้ายกับมีรถไฟหลายสิบขบวน กำลังเดินทางผ่านพร้อม ๆ กัน หลังจากนั้น ประมาณ 5 ถึง 6 นาที เสียงคล้ายปืนใหญ่ก็ดังขึ้น ดังเป็นช่วงสั้น ๆ ระยะเว้นห่างพอ ๆ กัน ซึ่งมันค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปอีก 2 นาที ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาอีก 6 ครั้ง เหมือนการยิงปืนใหญ่ ที่ยิงออกมาทีละกระบอก เสียงดังพร้อมแรงสั่นสะเทือน เหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า ไม่มีลมไม่มีเมฆ เมื่อตรวจสอบไปทางเหนือ พบว่าบริเวณที่ได้ยินเสียง จะเห็นเมฆชนิดหนึ่ง อยู่ใกล้กับขอบฟ้า มันดูมีขนาดค่อย ๆ เล็กลง และดูโปร่งใสไปทีละนิด จนช่วงสองสามโมงเย็น มันก็หายไปโดยสมบูรณ์
จากบันทึกต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตาม ที่ลอยข้ามผ่านพื้นที่ทั้งหมดนั้น มันตกลงไปบนพื้นที่ไหนซักแห่ง ที่น่าจะเป็นป่า สร้างความเสียหายจากไอความร้อน และคลื่นเสียงที่กระแทกอย่างรุนแรง ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร นอกจากหนังสือพิมพ์บางฉบับ ที่มองว่า มันคืออุกาบาตเวลาผ่านไป ความสงสัยยังคงเคลือบแคลง แต่ด้วยปัญหาภายในรัสเซียช่วงนั้น มันใหญ่หลวงระดับสงครามโลก ทำให้ยังไม่เกิดทีมงานค้นหา จนมาถึงปี 1921 มีทีมสำรวจแร่ของรัสเซีย นำทีมโดยลีโอนิด คุลลิก ได้เดินทางไปที่พ็อดคาเมนนายา ทุงกุสก้า ที่ถือเป็นส่วนกลางของแม่น้ำทุงกุสก้า พวกเขาทำงาน ให้กับสถาบันวิทยาศาสตร์รัสเซีย และไม่เคยเดินทาง ไปยังจุดที่เกิดระเบิดตรงนั้นมาก่อน พอไปถึงจุดเกิดเหตุ ความเสียหายที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันทำให้พวกเขาคาดว่า สิ่งที่ทำให้เกิดระเบิดในปี 1908 นั้น มันน่าจะเป็นอุกาบาตขนาดยักษ์ พวกเขารีบเดินทางกลับออกมา ทำรายงานส่งถึงรัฐบาลโซเวียต เพื่อขอกองทุนในการสำรวจพื้นที่ ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับจุดนั้นบ้าง และถ้าโชคดี อาจจะพบธาตุหรือโลหะ ที่จะส่งผลต่อความก้าวหน้า ในการทำเหมืองแร่ด้วย
คุลลิกฟอร์มทีมสำรวจใหม่ เดินทางกลับไปยังทุงกุสก้าอีกครั้ง ในปี 1927 เขาว่าจ้างชาวพื้นเมืองอิเวนกี้ เพื่อนำทางทีมงาน ไปยังศูนย์กลางของระเบิด พวกเขาคาดหวัง ถึงการพบกับหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ แต่เมื่อเดินทางไปถึง พวกเขากลับไม่พบอะไร ที่ดูเป็นหลุมยักษ์แบบที่คิด พบแต่พื้นที่กว้างประมาณ 8 กิโลเมตร ต้นไม้ทั้งหมดไหม้เกรียมไร้กิ่งก้าน พวกมันล้วนยืนตรงเป็นต้นตาย ต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลาง ถูกแผดเผาไปบ้างบางส่วน หลายต้นล้มลง ในทิศตรงข้ามกับจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดแนวรัศมีขนาดใหญ่ ที่่เกิดจากต้นไม้หักโค่นเหล่านั้น
ช่วงทศวรรษ 1960 มีการกำหนดเขตป่าในพื้นที่ราบ เป็นจำนวน 2150 ตารางกิโลเมตร เป็นรูปร่างคล้ายผีเสื้อกางปีกขนาดมหึมา ปีกแต่ละข้างมีขนาดประมาณ 70 กิโลเมตร ส่วนที่เหมือนเป็นลำตัวอีก 55 กิโลเมตร หลังจากการตรวจสอบโดยละเอียด คูลิกพบหลุมอยู่หลุมหนึ่ง เขาเข้าใจว่า มันน่าเป็นหลุมอุกกาบาต แต่ในเวลาต่อมา เขาก็พบว่ามันไม่ใช่
ตลอดช่วง 10 ปี คูลิกพบหลุ่มบ่อเล็ก ๆ มากมาย แต่ละแห่งมีขนาดแตกต่างกัน มีตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร ไปจนถึง 50 เมตร ตอนแรกเขาคิดว่า มันน่าจะเกิดจากอุกกาบาต เขาพยายามวิดน้ำในหลุมออก จนพบว่าที่ด้านล่างนั้น มีตอไม้เก่าอยู่ใต้หลุม และคาดเดาว่า ก็น่าจะเป็นหลุมอุกกาบาตนั่นแหละ แต่ทำไม ขนาดของมันถึงได้เล็กจัง ไม่สมกับความร้ายแรง ที่เกิดขึ้นไปโดยรอบเลย
การศึกษาดำเนินต่อ ทีมงานของคูลิค พบซิลิเกตและแม็กนีไทต์ มันมีลักษณะเป็นทรงกลม แบบเดียวกับที่พบในซากต้นไม้แถวนั้น การศึกษาในเวลาต่อมา พบว่ามันคือสสาร ที่อยู่ในเรซินของต้นไม้ มีสัดส่วนของนิกเกิลสูง มันน่าจะเกิดจากอุกกาบาต จนสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่ตกลงมาในปี 1908 มันมาจากนอกโลกจริง ๆ
ผลวิเคราะห์ทางเคมี ที่ได้จากบึงบริเวณนั้น พบความผิดปกติหลายอย่าง ที่ถูกพิจารณาว่า สอดคล้องกับเหตุอุกกาบาตตก มันแตกต่าง จากพื้นที่ปกติใกล้เคียง ในน้องน้ำ มีสัดส่วนของอิริเดียมสูงผิดปกติ ที่คาดเดาว่า สาเหตุที่มันเป็นเช่นนั้น มาจากเศษซากของสิ่งที่ตกลงมา ไปสะสมอยู่ที่ก้นบึงแน่ ๆ
สรุป เนื่องจาก หากเป็นดาวเคราะห์น้้อย มันก็คือวัตถุที่เป็นหิน และเมื่อมันตกมาถึงพื้น มันก็ควรจะเกิดเป็นปล่องหลุ่มขนาดใหญ่ แต่นี่มันไม่มี หากมันแค่บินผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามา มันก็ควรจะเกิดแรงกดดัน และอุณภูมิสูงขึ้น จนในที่สุดก็ต้องระเบิด จนไม่มีอะไรเหลือแน่ ๆ แต่จากปากคำของพยาน บอกว่าเจ้าสิ่งนัั้น มันกระจัดกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ และเกิดระเบิดไปตลอดเส้นทาง จึงทำให้ในปี 1993 มีการนำเสนอว่า สิ่งที่พุ่งเข้ามา อาจเป็นก้อนหินขนาด 60 เมตร ประกอบไปด้วยคอนไดรต์ธรรมดา กับคอนไดรต์คารบอน สารคาบอร์เนต ที่มีแนวโน้มว่าจะละลายได้อย่างรวดเร็ว เว้นแต่มันจะถูกแช่แข็งเข้ามา ใช่ พวกเขามองว่า มันน่าจะเป็นดาวหางจริง ๆ
คริสโตเฟอร์ ไชบา และนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อว่ามันคือดาวหาง และมองว่ามันคือดาวเคราะห์น้อยแน่ ๆ พวกเขาเสนอกระบวนการ ที่อุกกาบาตหิน สามารถระเบิดออกได้เช่นกัน หากมันเข้ามาในบรรยากาศของโลก และมันสามารถสร้างความเสียหาย ก่อนที่จะสลายไปจนเกลี้ยง จากการระเบิดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ กลายเป็นไม่มีหลุมอุกาบาต ได้เช่นกัน
ในปี 2008 มีการสร้างแบบจำลองเชิงสามมิติ เพื่อสนับสนุนว่า อุกกาบาตที่ตกในทุงกุสก้า น่าจะเป็นดาวหาง สสารของมัน น่าจะกระจายตัวในชั้นบรรยากาศ จนไม่มีอะไรเหลือ ส่วนป่าที่ถูกทำลาย มันเกิดจากคลื่นกระแทกเท่านั้น
ปี 2009 นักวิทยาศาสตร์ชื่อเอ็ม.ซี. เคลลี่ ได้ออกมาโต้แย้งว่า อย่าเพิ่งปักใจว่าเป็นดาวหาง เพราะดาวเคราะห์น้อยเอง ก็สามารถทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ เขายกการคำนวน ระบุว่ามีดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง น่าจะเคยเดินทางเข้ามาใกล้โลก ในช่วงปี 1908 เขาคำนวนจากวงโคจร ของกลุ่มดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาใกล้โลกเมื่อปี 2005 เคลลี่กับทีมงาน ได้ผลคำนวนออกมาค่อนข้างชัดเจน กลุ่มดาวหางดวงนี้ เคยเข้าใกล้โลกมาก่อนจริง ๆ ใกล้ที่สุดคือปี 1908 แถมยังเข้าใกล้ก่อนวันพุ่งชนวันนั้น ไม่เกิน 3 วันเสียด้วย ซึ่งชิ้นส่วนที่เหลือของการตก ทางทีมวิจัยร่วมของสหรัฐกับยุโรป พบว่ามีส่วนผสมของเหล็ก มันเป็นดาวที่มีเหล็้กเป็นสสาร ไม่ใช่ดาวหาง ที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบหลัก อย่างแน่นอน
ปี 2013 เกิดเหตุดาวตกที่รัสเซีย ทั่วโลกเผยแพร่คลิปการระเบิดของมัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลมากพอ ที่จะสร้างแบบจำลอง สำหรับเหตุการณ์ในทุงกุสก้ากันใหม่ พวกเขาพบว่า เหตุอุกกาบาตตกในปี 2013 มีความรุนแรง ระดับเดียวกันกับของทุงกุสก้า แรงระเบิดและความสูงใกล้เคียงกัน สร้างคลื่นกระแทกได้ไม่แพ้กัน ที่ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่ามันจะเป็นดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหาง หากพวกมันเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ มันจะปล่อยพลังระเบิดทำลาย ได้ระดับเดียวกับการระเบิดของภูเขาไฟเซนเฮเลน
ในปี 2020 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์หลายรูปแบบ เพื่อคำนวนเส้นทางของดาวเคราะห์น้อย พวกเขาสร้างเงื่อนไขมากมาย ตั้งแต่ความหลากหลายของขนาด มุมที่ตกผ่านชั้นบรรยากาศ ไปจนถึงองค์ประกอบของมัน ที่มีทั้งเหล็กหินหรือน้ำแข็ง มันทำให้ได้ข้อสรุป เป็นแบบจำลอง ที่ใกล้เคียง กับเหตุการณ์ในปี 1908 มากที่สุด เจ้าสิ่งที่ตกลงมาวันนั้น มันคือดาวเคราะห์น้อย ที่มีส่วนผสมของเหล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 200 เมตร เดินทางด้วยความเร็ว 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที และทำให้คาดเดาได้ว่า สาเหตุที่มันไม่เหลือซากใด ๆ เอาไว้ เพราะมันเดินทางเข้ามาในบรรยากาศ แตกตัวออกเป็นชิ้นในขนาดต่าง ๆ กัน ในขณะที่แกนใหญ่ที่สุดของมัน ยังคงเดินทางต่อไป จนเลยออกจากโลกไป กลับไปอวกาศอันเวิ้งว้าง ในวงโคจรเดิมของมัน
ติดตามเรื่องราวตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอน : รีวิวเรื่องตำนานสิ่งลี้ลับเรื่องผี
สามารถติดตามเรื่องราวในตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอนได้เพิ่มเติมที่แฟนเพจของเรา : Storyreview