ตำนานพญาครุฑ
ตำนานพญาครุฑ ครุฑ หรือ อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า สุบรรณ หมายถึง ขนวิเศษ แต่เดิมครุฑมีนามว่า เวนไตย เกิดจากนางวินตา ครุฑแต่กำเนิดเกิดมามีกำลังมหาศาล มีรัศมีสีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศรีษะ จะงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่แขนขา เหมือนมนุษย์ พละกำลังอิทธิฤทธิ์ของพญาครุฑ เมื่อครั้นพญาเวนไตยเติบใหญ่ ทราบว่ามารดาของตนนั้นตกเป็นทาสของกัทรุ เพราะแพ้อุบายเมื่อครั้งทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ในอดีต โดยนางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกไปพ่นพิษรถม้า เพื่อให้สีขาวของรถม้ากลายเป็นสีดำ พญาเวนไตยจึงขอไถ่ตัวมารดาของตนจากเหล่านาค แต่มีข้อแม้ว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกนาค ด้วยความที่พญาเวนไตยอยากจะช่วยมารดา จึงได้ตกลงเดินทางไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์ ระหว่างเดินทางหิวก็ได้จับคนป่าเถื่อนกินเป็นอาหาร และได้พบกับเต่าและช้างตัวใหญ่ขนาดมหึมา พญาเวนไตยคาบทั้งคู่บินไปเกาะกิ่งไทรที่มีความยาวหนึ่งร้อยโยชน์ แต่กิ่งไกรรับน้ำหนักไม่ไหว ก่อนที่กิ่งไทรจะหักลงมา เหลือบไปเห็นพวก พาลขิยะ “ฤาษีแคระ” ขนาดเท่านิ้วมือจึงเอาเท้าจับกิ่งไทรบินพาไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ บรรดาฤๅษีเห็นพญานก
ตำนานลับ พญานาค
ตำนานลับ พญานาค นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล พญานาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู ส่วนทางฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือ เมืองบาดาล และ เชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของพญานาค ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็ม
พีระมิดสร้างยังไง
พีระมิดสร้างยังไง? (The Pyramid) การเริ่มต้นการสร้างพีระมิด ในประเทศอียิปต์เองนั้นมีพีระมิดกระจายอยู่มากมายทั่วประเทศนับ 100 แห่ง หน้าที่หลักของมันก็คือเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ หรือ ฟาโรห์ นั่นเองครับ และเพื่อให้แน่ใจว่าองค์ฟาโรห์จะมีข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินเงินทองที่เพียงพอสำหรับโลกหน้าอย่างสุขสบาย (ถึงตรงนี้ให้จำคำว่า “โลกหน้า” ไว้ก่อนนะครับ) นอกจากนั้นยังรวมถึงอาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี อาวุธ อุปกรณ์ล่าสัตว์ ไปจนกระทั่งรถศึกเทียมม้า ในบางครั้งก็ยังรวมถึงการประหารชีวิตคน เพื่อนำไปทำหน้าที่ในการเฝ้าสมบัติของพระองค์อีกด้วย สุสานแบบมาสตาบาที่ซัคคารา (Mastaba) สุสานในช่วงยุคแรกๆ ของชาวอียิปต์นั้นจะยังไม่ใช่ทรงพีระมิดแบบที่เราเห็นๆ กัน แต่จะแค่ขุดหลุมลงไปเป็นทรงสี่เหลี่ยม หรือวงรี แล้วค่อยฝังศพพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ลงไป กระทั่งการมาของการสร้างสุสานแบบ “มาสตาบา” พีระมิดทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งจะสามารถสร้างห้องไว้ภายในได้มากขึ้น เก็บของได้มากขึ้น จากนั้นจึงเป็นต้นแบบให้เกิดการสร้างพีระมิดแบบขั้นบันไดในยุคต่อๆ มา ความเชื่อของชาวอียิปต์และก
ถนนบิมินี
ถนนบิมินี เปิดตำนาน แนวถนนบิมินี โบราณสถานใต้ทะเลลึกที่เชื่อกันว่าอาจเป็นเศษซากของอารยธรรมแอตแลนติสที่หายสาบสูญ เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ คือผู้บุกเบิกด้านพลังจิต และเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าโดยใช้พลังจิตที่เขามี และหนึ่งในคำทำนายที่โด่งดังของเขา คือการออกมายืนยันว่า ‘แอตแลนติส’ ดินแดนที่สาบสูญนั้นมีอยู่จริง เมื่อปี ค.ศ.1940 และเราจะได้พบกับเศษซากอารยธรรมบางส่วนของแอตแลนติสใกล้กับหมู่เกาะบิมินีระหว่างปี ค.ศ.1968 – 1969 และภายหลังก็ได้มีการค้นพบกับแนวถนนบิมินี ในช่วงเวลาที่เคย์ซีย์ได้ทำนายเอาไว้จริง แนวถนนบิมินี คือกลุ่มหินที่ถูกจัดวางเรียงอยู่ใต้น้ำใกล้กับเกาะบิมินีเหนือใกล้กับหมู่เกาะบาฮามาส แนวถนนบิมินีมีลักษณะเป็นเส้นตรงพาดยาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ ที่ประกอบไปด้วยบล็อกหินปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยวัดความยาวได้ 800 เมตร แน่นอนว่านักสำรวจและนักโบราณคดี ต่างมีคำถามว่าแนวถนนบิมินีที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์กันแน่ และ ถ้าหากมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์จริง ด้วยลักษณะโครงสร้างของมัน ควรจะเป็นแนวกำแพง ถนน ท่าเรือโบราณ หรือ
ตะกรุด
ตะกรุด ตะกรุด เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ผูกพันกับคติความเชื่อในสังคมไทยมาช้านาน เพื่อความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตราย ภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ กลับดวง พลิกชะตา เลื่อนยศ ร้ายกลายเป็นดี ฯลฯ ตะกรุดได้ถูกสร้างโดยอ้างถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะหากทำวัตถุบูชาเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อนำไปในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สนามรบ อาจจะไม่บังควร ตะกรุดทำมาจากวัสดุต่าง ๆ ตามตำราของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน แต่ที่พบโดยทั่วไปจะเป็นการนำโลหะแผ่นบางๆ อาจจะเป็น ทองคำ เงิน นาก ตะกั่ว หรือโลหะผสมอื่น ๆ มาลงอักขระเลขยันต์ด้วยเหล็กจารแสดงความหมายที่แตกต่างกันออกไป แล้วม้วนให้เป็นท่อกลมโดยมีช่องว่างตรงแกนกลางสำหรับร้อยเชือกติดตัว อาจนำมาหลอมรวมกันแล้วทำเป็นตะกรุดหล่อโบราณ ทำจากรางน้ำฝน ทำจากกาน้ำ ทำจากใบลาน ตัดเป็นแผ่นก่อนแช่น้ำแล้วนำมาม้วนเป็นท่อกลม ทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังเสือ หนังหน้าผากเสือ หนังงู หนังเสือดาว หนังลูกวัวอ่อนตายในท้องแม่ หรือจากกระดูกสัตว์ ตะกรุดกระดูกช้าง ตะกรุดจากเขาวัวเผือก หรือจากไม้มงคลต่างๆ เช่น ไม้ไผ่ ซึ่งมีทั้งไผ่
ผีตานี
ผีตานี นางตานี เป็นผีผู้หญิง เช่นเดียวกับนางตะเคียน นางตานีจะสิงสถิตย์อยู่ในต้นกล้วยตานี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ต้นกล้วยตานีทุกต้นจะมีพรายตานีสิงสถิตย์อยู่ ลักษณะของพรายตานีโดยทั่วไปจะเป็นหญิงงาม นุ่งห่มตามแบบสตรีไทยโบราณ สไบสีตองอ่อน ผ้านุ่งโจงสีตองแก่ กลิ่นกายหอมดอกกล้วย ต้นกล้วยตานี เป็นที่สิงสถิตของ พรายนางตานี เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรุ่นเก่าพรายนางตานีนี้ว่ากันว่า มีหน้าตาสวย มีกลิ่นตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนดุจตีนนกพิราบ ริมฝีปากมีสีเหมือนตำลึงสุก ถ้ากล้วยตานีมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วม ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานีก็มีรูปทรงฉลวย โดยเหตุที่พรายนางตานีเป็นผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกกล้วยตานีไว้ใกล้เรือน แม้จะปลูกไว้ใกล้เรือน ถ้าจะตัดเอาใบตองไปใช้ ก็ห้ามไม่ให้ตัดเอาไปทั้งใบ ต้องเจียนเอามาแต่ใบตองเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องหักก้านเสียก่อน เพราะถ้าตัดเอาเข้ามาในเรือนทั้งใบ ถือเป็นลางร้ายว่าจะมีใครในบ้านนั้นตายลงในไม่ช้า ทั้งนี้เห็นจะเนื่องจากคติเดิมที่ใช้ใบตองกล้วยตานีสามใบรองก้นโลงศพ กล้วยตานีนี้ถ้าคราวออกปลี จะมีพิธีพลีพรายนางตานี เครื่องพลีมีหัวหมูบายศรี สำรับคาวหวาน