STORYREVIEW
STORYREVIEW
ตำนาน เรื่องหลอน เรื่องลี้ลับ 2023

10 เรื่องลี้ลับ

รวบรวมเรื่องราวสิ่งลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจริง หรือ ไม่

ตำนานเหล็กไหล

1.ตำนานเหล็กไหล

ตำนานเหล็กไหล

  เหล็กไหล เป็นธาตุศักสิทธิ์ในประเทศไทย มีมากมายหลากหลายชนิด แต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั่นก็คือ เหล็กไหลที่จะฝังตัวอยู่ในถ้ำลึกมีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลมานั่นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลจึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งพร้อมกับมาเล่นไฟด้วย จนกระทั่งบางเท่าเส้นด้ายจึงจะตัดขาด (ทั้งนี้ยังเชื่อกันอีกว่าคนที่จะไปตัดเหล็กไหลได้นั่น ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปก็ตัดได้ เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาคหรือยักษ์ รักษาปกป้องคุมครองอยู่ และ พร้อมจะเข้าทำร้ายผู้ที่จะเข้าไปตัดเหล็กไหลอีกด้วย) ตามความเชื่อแล้ว เหล็กไหลนั่นมีความศักดิ์สิทธิ์มากมาย ผู้คนบางมักนำไปฝังตามร่างกาย หรือ ไม่ก็พกติดตัวเพื่อปกป้องคุมครองผู้ถือครอง เมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่

กำเนิดเหล็กไหลเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์

  คำว่า”ธาตุกายสิทธิ์”นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า “เหล็กไหล” จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

  1. ธาตุเหล็ก มีความแข็งแรงแข็งแกร่งมากที่สุด
  2. ธาตุดิน คือ การเกิดอัดแน่นต่างๆของจากธรรมชาติ ดิน หรือ หินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี
  3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว ดังเช่น ว่านต่างๆ ที่เป็นพืชซึ่งสามารถดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินมาเก็บไว้ที่ตนเอง จนเกิดอิทธิฤทธิ์
  4. ปรอท หรือ ธาตุชนิดต่างๆที่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง มีฤทธิ์เดชอำนาจทางความยืดหยุ่นสูง หลีกเลี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นได้เร็ว และ ปรับสภาพตนเองได้อย่างอิสระ

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า “เหล็กไหล” ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า “เหล็กไหล” เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมี ความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป

2.นะหน้าทอง

นะหน้าทอง นั่นเป็นวิชาเสริมดวงชะตา มีรากฐานมาจากลัทธิพราหมณ์ และ เรื่องราวในวรรณคดี รามเกียรติ์ คือ พระลักษณ์ อนุชา พระรามผู้มีกายสีทอง พระลักษณ์ มีพระวรกาย สง่างาม เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คุณลักษณะของพระลักษณ์ ตรงนี้ คือสายเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ โชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง คติ ของ นะหน้าทอง มากจากการเอาความเป็นพระลักษณ์ หน้าทองมาประสิทธิ์ แก่ผู้ที่ต้องการพรนั้น ครั้นจะไปเอาหน้ากากพระลักษณ์มาสวมติดหน้าคงเป็นไปไม่ได้ จึงใช้วิธี เอาแผ่นทองคำเปลว มาเสกเป็นสัญญะของพระลักษณ์หน้าทอง

ทองคำเปลวถือว่าเป็นของสูง เสมือนความสุข สว่าง ทองคำ เป็นสิ่งที่รวมเอาพลังของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ มาไว้ด้วยกันเป็นธาตุมงคลที่ซึมซับสิริและมงคลมาสู่ผู้ที่รับ ทองคำนั้นเข้ามา ตามคัมภีร์ไสยเวทย์ ทองคำเป็นอะไรที่ มีคุณค่าในตัวเอง จะโดน อะไรมากระทบก็ไม่เสียคุณค่าในตัวเอง การบงนะหน้าทอง ไม่ใช่ แค่เอาทองปิดหน้า แต่มีการ ลงคาถา ประสิทธิ์ลงไปบนแผ่นทอง 

จุดที่นิยมลง นะ หน้าทอง หรือ ปิดทอง เสริมสิริมงคล คือ หน้าผาก จุดนนี้นิยมที่สุด เพราะหน้าผาก ถือเป็น จุดสำคัญของใบหน้า ถ้าคิ้วคือมงกุฎของใบหน้า หน้าผาก คือ กระหม่อม หรือ ยอดของใบหน้า ถัดมา แก้ม แก้มเป็นจุดสำคัญของวิชาตามวิชาพรหมสี่หน้า พระหมมีคุณในเรื่องความเมตตา (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เมตตาที่แก้มจึงเป็นเมตตาที่ประเสริฐ จุดต่อมา กราม จุดนี้เพื่อความน่าเชื่อถือในการพูด เปลือกตา เชื่อว่า ลงตาแล้วจะทำให้เป็นที่นิยมพอใจของผู้พบเห็น ติ่งหู เป็นที่สถิตย์ของวิญญาณ จุดนี้หมายถึงอายุมั่นขวัญยืน กระหม่อม พราหมณ์ถือว่า กระหม่อมเป็นทางเข้าออกของ พลังชีวิต เป็นที่สถิตย์ของเทวดา 

ลิ้น จุดนี้เป็นจุดยอดฮิต ลงนะ ที่ ลิ้นเพื่อให้เจรจาเป็นที่น่าเชื่อถือพูดจาเป็นที่รักวาจาน่าพอใจพูดอะไรใครก็รัก ลงนะ ที่ คาง เพื่อความมั่นคงเป็นที่เคารพยำเกรง ลงนะ ที่ ท้ายทอย เพื่อเป็นที่นักแม้มองจาดด้านหลัง และ ลงนะ ที่ ติ่งหู เพื่อเชิญบารมีเทวดารักษาอายุที่เชื่อว่าอยู่ที่ติ่งหู 

จุดในการลงนะหน้าทองทั้งหมด 9 จุด ทุกจุดอยู่บนใบหน้า ปกติการลงนะนั่นจะลงเฉพาะจุดที่ต้องการสิริมงคล แต่เพราะช่วงเวลานี้คนอาจต้องการสิริมงคลมากๆ เอาไว้ฟ่าฟันอุปสรรค ทำให้คนเลือลงทุกจุดซึ่งหน้าลงครบ ก็คงทองอร่ามทั้งใบหน้าอย่างที่เราเห็นกัน

นะหน้าทอง
สาริกาลิ้นทอง

3.สาริกาลิ้นทอง

เรื่องราวของสาริกาลิ้นทอง

สาริกาหรือสาริกาลิ้นทอง เป็นของขลังที่ใช้เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ พูดอะไรใครก็ชอบ พูดอะไรใครก็หลง พูดอะไรใครก็เชื่อ เรามักได้ยินข่าวคนดังๆ คนมีหน้าที่การงานดี มักจะไปลงคาถาสาริกา หรือสาริกาลิ้นทอง เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ เมตตาให้กับตนเองเพื่อที่จะได้มีงาน มีคนนิยมชมชอบสนับ สนุนผลงาน ให้มีเงินทองนั้นเองและที่สำคัญให้โชคดี

ความเชื่อในสมัยโบราณของสาริกา

เป็นนกชนิดหนึ่งที่มีเสียงไพเราะและจะส่งเสียงได้ไพเราะที่สุดในตอนช่วงหาคู่ ดังนั้นเราจึงมักเห็นของขลังชนิดนี้เป็นรูปนก หรือนกคู่และยังเชื่อกันว่าหากใครมีสาริกาลิ้นทองไว้ติดตัวจะไปเจรจาการงานใดๆกับใครก็จะประสบผลสำเร็จทุกประการ พูดจาอะไรจะมีแต่คนฟัง คนเชื่อ มีอำนาจในการต่อรองและยังมีการทำสาริกาในหลากหลายรูปแบบ เช่นลงคาถาตามร่างกาย เจิมตามร่างกายหรือแม้แต่การสักน้ำมัน

4.ยันต์ 5 แถว

ในปัจจุบันคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ดารา นักกีฬาหรือบุคลทั่วไปที่มีเสียงโด่งดังมากมาย เเม้กระทั่งเหล่าดาราฮอลีวูดยังบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาสักที่ประเทศไทย เนื่องจากเป็นยันต์ที่สักเเล้วทำให้ชีวิตหน้าที่การงานเจริญขึ้นจึงนิยมสักกันอย่างมาก เเต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงความหมายของยันต์ห้าเเถว ว่ามันหมายถึงอะไร จงทำให้บางคนปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยันต์ หนุนดวง หรือ ยันต์โภค ทรัพย์ 5 แถว ความหมาย ตามความเชื่อ เป็นอักขระขอมโบราณ 5 แถว ความยาว 7 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วครึ่ง

แถวที่ 1 จะช่วยเรื่องแก้ฮวงจุ้ยให้ผลดีกับ ที่อยู่อาศัย ทางสามแพ่ง ซอยตัน ประตูตรงกันหรือธรณีศาลต้องโทษ

แถวที่ 2 เรื่องดวง เช่น ดวงตก ดวงขาด พระศุกร์เข้าพระเสาร์แซก ทำอะไรก็ไม่ดี จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี

แถวที่ 3 กันของจำพวกคุณไสย กันคนปล่อยของ ถูกของ กันผี กันสาง กันเสนียดจันไร ถ้าเจอเรื่องพวกนี้มา เกิดเหตุการณ์แปลกๆ แถวที่ 3 ป้องกันเรื่องร้ายๆแบบนี้ได้ดีมาก

แถวที่ 4 แถวนี้เป็นแถวแห่งความสำเร็จและเรื่องโชคลาภ ช่วยให้เราประสบความสำเร็จ

แถวที่ 5 แถวนี้เป็นแถวแห่งเมตตามหานิยม สายเสน่ห์ เป็นที่รักของคนพบเห็น

อีกทั้งมีอานุภาพหลายด้าน ทำให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลาย ที่มีทั้งโภคทรัพย์ เมตตามหานิยม กันเสนียดจันไร คุณไสย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นยันต์ครอบจักรวาล ที่มีครบในยันต์เดียว 5 แถว

กฎที่ต้องรักษาทุกคน

1) ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด

2) สวดมนต์ทำสมาธิเป็นประจำ อย่างน้อย 15 นาทีก่อนนอน

ยันต์ 5 แถว
ตะกรุด

5.ตะกรุด

ตะกรุด เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ผูกพันกับคติความเชื่อในสังคมไทยมาช้านาน เพื่อความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตราย ภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ กลับดวง พลิกชะตา เลื่อนยศ ร้ายกลายเป็นดี ฯลฯ ตะกรุดได้ถูกสร้างโดยอ้างถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะหากทำวัตถุบูชาเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อนำไปในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สนามรบ อาจจะไม่บังควร

6.มีดหมอหลวงพ่อเดิม

มีเรื่องกล่าวขานกันว่าเนื้อเหล็กที่หลวงพ่อเดิมนำมาใช้ตีเป็นมีดนั้นจะมีส่วน ผสมของตะปูสังขวานร ซึ่งเป็นตะปูในสมัยโบราณที่ใช้ยึดเครื่องไม้ในพระอุโบสถแทนตะปู ตะปูโลงผีที่สัปเหร่อเผาแล้วเก็บไว้ บาตรแตกชำรุด และเหล็กน้ำพี้ นำมาเป็นส่วนผสมใช้ทำ มีดหมอ สำหรับช่างที่ตี มีดหมอของหลวงพ่อเดิม นั้นเท่าที่พบจะเป็นฝีมือช่างฉิม ช่างไข่ และช่างสอน ซึ่งแต่ละช่างจะมีเอกลักษณ์ของตัวมีดของตนเองต่างกันไป เมื่อช่างทำใบมีดเสร็จแล้ว ก็จะส่งต่อให้ช่างทำด้ามและฝักทำต่อ

มีดหมอหลวงพ่อเดิม
ยันต์เสือหัวขาด

7.ยันต์เสือหัวขาด

ยันต์เสือหัวขาด กลายมาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนในวงการนักสักยันต์ หรือ ผู้ชื่นชอบในของขลังการสักยันต์ และ ในบรรดารูปสัตว์มหาอำนาจอย่างเช่น เสือ มักจะได้รับความนิยมอยู่ในอันดับต้นๆ เช่น ยันต์เสือเผ่น ‘หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ’ เกจิอาจารย์แห่งวัดบางพระ ขณะที่ ยันต์เสือเหลียวหลัง ของ อ.หนู กันภัย ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

  นอกจากนี้ยังมีการสักยันต์อีกหลายชนิด เช่น ยันต์พญาเสือ ยันต์พญาเสือสมิงมหาเวทย์ ยันต์พญาเสือตะปบเหยื่อ ยันต์พญาเสือโคร่งมหาอำนาจ ยันต์พญาเสือคู่มหาลาภ ยันต์เสือคู่เมตตาศัตรูพ่าย หรือ ศัตรูกลับเป็นมิตร เป็นต้น

กลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งที่ได้มีวิชาทั้งปล้นฆ่า ข่มขืน ตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งมีดปืนผาหน้าไม้ต่างๆ ก็ไม่ระคายผิว จนกระทั่งเมื่อตำรวจจับได้จะต้องประหาร หรือฆ่าโดยจับถ่างขาแล้วเอาไม้แหลมสวนทวารจนตาย พอตำรวจจับโจรกลุ่มนี้ได้นั้น ก็ได้เปิดเสื้อดูที่หน้าอก ปรากฏว่าก็ได้พบลายสักแบบนี้เหมือนกันหมดก็คือ ลายสักเสือหัวขาด

ปรากฏโจรชุกชุม และเมื่อถูกจับได้ ทำการทำโทษ หรือประหารไม่ได้ เพราะอาวุธพวกนี้ไม่ระคายผิว ทำให้ตำรวจต้องเอ่ยปากให้หาตัวคนที่สักยันต์เสือหัวขาดนี้ให้ได้ และปรากฏพบผู้ที่สักยันต์ลายเสือหัวขาดนี้เป็นหลวงปู่เจ้าอาวาสวัดเขานางนม อ.พนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ตำรวจจึงได้ขอให้ท่านนั้นเลิกสัก จนมีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อไฉน ท่านได้เดินทางไปที่จังหวัดชลบุรี มีชาวบ้านได้เล่าเรื่องราวถึงลายสักของหลวงปู่ท่านนี้ เมื่อหลวงพ่อได้ฟัง หลวงพ่อท่านจึงเดินทางไปกราบท่าน และขอเรียนวิชากับท่านที่วัดเขานางนม พอไปถึงพระลูกวัดก็บอกท่านว่า หลวงปู่ท่านอยู่ข้างบนศาลา

สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ พอหลวงพ่อท่านได้ขึ้นไปกราบ ก็ไม่พบหลวงปู่ท่านจึงลงมาถามพระลูกวัดอีกครั้ง พระลูกวัดก็บอกว่าหลวงปู่นั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ท่านจึงกลับขึ้นไปอีกครั้ง ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านนั่งยิ้มให้หลวงพ่อท่านนั่งกำบังตัวอยู่ ตั้งแต่ตอนแรกหลวงพ่อจึงเข้าไปกราบและขอเรียนวิชานี้ ทีแรกนั้นหลวงปู่ท่านจะไม่สอนให้เพราะหลวงพ่อได้มองเห็นว่าลูกศิษย์ที่ได้สักยันต์ไปนั่นมักไปเป็นเสือเป็นโจรกันหมดโดยปัญญาที่เฉียบแหลมของหลวงพ่อไฉนนั้นท่านจึงได้คิดที่จะตั้งเป็นหลักที่ปักไว้ที่ธรณี ล่ามโซ่เสือหัวขาดไว้ซึ่งหมายถึง ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ใครอย่ามาทำร้ายเราก่อน หลวงปู่ท่านจึงได้สอนให้ เพราะ ต้นฉบับนั้นเสือหัวขาดจะไม่มีหลักมาปัก และ ล่ามโซ่ไว้ และลายสักเสือหัวขาดนี้เป็นรายแรกที่หลวงพ่อท่านได้เปิดสักใน อ.ปากช่อง และ มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะมาก

8.ขุนแผนอุ้มนาง

ซึ่งผู้คนในยุคสมัยนั้นต่างก็มีวิชาความรู้ในด้านไสยศาสตร์กันมาก และขุนแผนก็เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครโดยเฉพาะในเรื่องมหาเสน่ห์ และเป็นตำนานของการสร้างพระยอดขุนพลซุ้มเรือนแก้วเนื้อดินกรุบ้านกร่าอันลือลั่น ที่ใครต่อใครเรียกกันติดปากว่าพระขุนแผน และก็เลยมีความเข้าใจกันผิดๆว่าใครพกพาบูชาพระขุนแผนก็ต้องเจ้าชู้แต่ยากจนเข็ญใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมาก ท่านผู้อ่านลองคิดดูสิครับว่าคนระดับขุนแผนผู้เรืองอาคม ทั้งรูปงามและเก่งสารพัดจะจนได้อย่างไร แถมยังมีแม่เป็นเศรษฐีอีกต่างหาก ฐานะไม่ได้ด้อยไปหว่าขุนช้างเลย ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านเข้าใจให้ถ่องแท้ด้วยและลองพิจารณากันดูนะครับ

เพราะว่าพระขุนแผนนั้นในปัจจุบันราคาเล่นหาแพงมาก และที่สำคัญเศรษฐีทั้งนั้นครับที่มีพระขุนแผนไว้ครอบครอง อย่างนี้แล้วจะกล่าวหาว่าขุนแผนจนได้อย่างไรกัน ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปหาวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมากางอ่านกันดูสิครับ อ่านแบบวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลนะครับแล้วท่านผู้อ่านจะพบว่าแท้ที่จริงแล้วขุนแผนท่านมิได้ยากจนแม้แต่น้อยเลย และแม้ถึงว่าขุนแผนจะติดคุกในช่วงหนึ่งเพราะเรื่องผู้หญิงเป็นสาเหตุแต่ท่านก็ติดแบบคนดีมีพรรคพวกนะครับ ได้รับการดูแลอย่างดีแถมมีเมียสวย นามว่านางแก้วกิริยาเข้าไปอยู่ร่วมห้องถึงในเรือนจำ หนำซ้ำยังช่วยกันทำขนมสานกระบุงขายอีกต่างหาก อย่างนี้แล้วจะมาหาว่าขุนแผนจนไม่ได้หรอกครับ แถมในท้ายที่สุดยังได้อวยยศเป็นถึงพระยาพานทอง นามว่าพระยาสุรินทร์ฤาชัยอีกต่างหาก นี่ไม่ใช่เพราะความเก่งผสมกับคาถาอาคมดอกหรือ และด้วยเหตุดังนี้ครูอาจารย์เจ้าในโบราณหลากหลายสำนักท่านจึงเอาคุณงามความดีความเก่งตลอดจนมหาเสน่ห์ที่ขุนแผนมีอยู่เอามาเป็นอุปเทห์ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังกันอย่างมากมายและมีอานุภาพอันเลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน

มวลสารในการจัดสร้างขุนแผนอุ้มนางของหลวงพ่อเจริญ

1.ว่านดอกทอง

2.ว่านมหาเสน่ห์

3.เครือเขาหลง

4.ดิน 7 โป่ง

5.เหงื่อของหญิงสาวบริสุทธิ์

คาถาบูชา ขุนแผนอุ้มนาง

ตั้งนะโมฯ (3 จบ) 

ณะรำจวน โมป่วนใจ พิศวงหลงใหล นาสังสิโมนา

สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ สุนะโมโล นะโมพุทธายะ

นะมะพะทะฯ (3 จบ)

ขุนแผนอุ้มนาง
พระปิดตาหลวงปู่โต๊ะ

9.พระปิดตาหลวงปู่โต๊ะ

ซึ่งมีพุทธคุณพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะหนุนนำลูกศิษย์ จนเกิดเป็นความเชื่อ ความศรัทธา หลายคนต่างมีประสบการณ์เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้พุทธคุณพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะเป็นที่ลือเลื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ

ประวัติและที่มาพระปิดตา

ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศกัมพูชา ก่อนขยายอิทธิพลเข้าสู่วงการการสร้างพระเครื่องของไทย ในยุคแรกๆ พระปิดตาสร้างจากเนื้อโลหะ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อพระ โดยลักษณะของพระเครื่องรุ่นนี้คือ ยกพระหัตถ์ขึ้นเพื่อปิดพระเนตร ซึ่งจะปิดทั้งพระพักตร์ เพราะเชื่อว่าเป็นการปิดทวารทั้ง 9 ได้แก่ ตา จมูก หู และปาก แสดงถึงความสงบในจิตใจ การตัดกิเลสจากโลกภายนอก เข้าสู่ทางธรรม ตลอดจนปฏิบัติกรรมฐาน

10.เขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน

ลักษณะที่บอกเอกลักษณ์ในปัจจุบันก็คือ เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า ซึ่งมีทั้ง เสือหุบปาก และเสืออ้าปาก เขี้ยวต้องกลวง มีทั้งแบบซีกและเต็มเขี้ยว เขี้ยวหนึ่งอาจแบ่งทำได้ถึง 5 ตัว ตัวเล็กๆ เรียก “เสือสาริกา” เป็นปลายเขี้ยว ส่วนใหญ่พบว่าเป็นซีก คนโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในตลับสีผึ้งทาปาก ทีนี้มาดู ‘วิธีจาร’ ของท่าน ท่านจะจารตัว “อุ” มีทั้งหางตั้งขึ้นและลง ที่ขาหน้าค่อนไปทางด้านบน และลงอักขระคล้ายเลข “๓” หรือเลข “๗” ขยักๆ หางลากยาวหน่อย ตรงสีข้างส่วนใต้ฐาน ท่านจะจาร ‘ยันต์กอหญ้า’ ถ้าเสือตัวใหญ่หน่อยท่านจะลงยันต์กอหญ้า 2 ตัว ตรงข้ามกัน และลงตัว ฤ ฤา พร้อมตัวอุณาโลม บางตัวมีรอยขีด 2 เส้นขนานกัน ดูให้ดีจะเห็นเป็นเส้นลึกและคมชัด นอกจากนี้ ต้องดูความเก่าของเขี้ยวเสือให้เป็น คือ ต้องแห้งเป็นธรรมชาติ วรรณะเหลืองใส มีรอยหดเหี่ยวโบราณเรียก ‘เสือขึ้นขน’ เห็นเป็นเสี้ยนเล็กๆ อาจมีรอยแตกอ้า หากผ่านการใช้สียิ่งเข้ม ส่วนของปลอมจะเอาเขี้ยวหมี เขี้ยวหมูป่า มาเคี่ยวด้วยน้ำมันงา แต่ถ้าดูเป็นจะเห็นว่าอมน้ำมัน ของจริงจะแห้ง ใส เหลือง ไม่อมน้ำมัน ผิวเป็นมันวาวไม่ด้าน บางพวกคั่วน้ำมันงาเสร็จจะมาต้มในน้ำร้อนไล่น้ำมันแต่ผิวจะด้าน ถ้าเจอมีสีเขียวใสๆ จับ นั่นนะเป็นรอยไหม้ตอนคั่ว ตอนหลังหาเขี้ยวสัตว์ยากเลยเอากระดูกสัตว์มาทำ บางอันเป็นเรซินไปแช่ด่างทับทิม หรือทิงเจอร์ฯ แช่แป๊บเดียวรอยคราบเหลืองเก่าจะจับตามซอกและผิว จากนั้นจะนำมาขัด ถ้ารู้วิธีก็จะดูได้ง่ายขึ้น และสีของเขี้ยวจะไม่เป็นสีเดียวกัน จะมีอ่อนแก่ ยิ่งใกล้รูกลวงสีจะอ่อน และรูเขี้ยวเสือจะเป็นวงรีหรือกลมค่อนไปทางรี ถ้าเห็นรูแสดงว่าเป็นเต็มเขี้ยว ของปลอมจะใช้สว่านเจาะให้เป็นรู ถ้ารูค่อนไปทางเหลี่ยมสามเหลี่ยมจะเป็นเขี้ยวหมี

เท่าที่พบ “เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน” จะไม่มีอักขระอื่นๆ ปะปนซับซ้อนมากนัก เพราะคณาจารย์เก่าก่อนท่านจะไม่ลงซ้ำ มีกิตติคุณเลื่องลือเป็นที่ปรากฏ ทั้ง เมตตามหานิยม โชคลาภและมหาอำนาจ แต่ของทำเทียมมีมากมายก่ายกองทีเดียว ถ้าดูไม่ขาดพึ่งพาอาศัยผู้ชำนาญการจะดีกว่า แล้วเรื่องราคาไม่ต้องพูด แพงระยิบระยับแล้วกันครับผม … เมื่อครั้งมีการสร้างเขื่อนพระยาไชยานุชิต ที่ คลองด่าน เพื่อกั้นกระแสน้ำทะเลไม่ให้ท่วมเรือกสวนไร่นาชาวบ้าน แต่กรมชลประทานไม่สามารถก่อสร้างได้สำเร็จซักที เพราะกระแสน้ำแรงมากและตีขึ้นมาตลอด หลวงพ่อปานเห็นแก่การขจัดความเดือดร้อนของผู้คน จึงทำการเสกเขี้ยวเสือขว้างลงไป ปรากฏว่ากระแสน้ำลดกำลังลงอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถกั้นสร้างเขื่อนได้สำเร็จ … เมื่อคราวล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อน คนเก่าๆ เล่ากันว่า หลวงพ่อปานนำเขี้ยวเสือใส่พานถวาย 5 ตัว แต่เณรที่ถือพานเกิดตกประหม่าทำตกน้ำไปหนึ่งตัว ท่านเลยให้เอาเนื้อหมูผูกเชือกหย่อนลงน้ำ บริกรรมพระคาถาจนเขี้ยวเสือติดชิ้นหมูขึ้นมา ต่อหน้าพระพักตร์ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงศรัทธาหลวงพ่อปานมาก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ พระครูนิโรธสมาจารย์ และทรงเรียกเป็นส่วนพระองค์ว่า “พระครูปาน” มีปรากฏในพระราชหัตถเลขาว่าพระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้เป็นที่นิยมกันในทางวิปัสสนาและธุดงควัตร คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสมาก ๆ เลยทีเดียวนั่น คือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากนั้น คือ รูปเสือแกะด้วยเขี้ยวเสือ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสกต้องใช้เนื้อหมู เสกเป่าไปยังไรเสือนั้นจะกระโดดลงไปยังเนื้อหมูได้ ตัวพระครูเองเห็นจะได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อย ในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีหนีไปอยู่ป่าช้า ที่พระบาทก็หนีขึ้นไปอยู่เสียที่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามขึ้นไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ในการทำอะไรๆ ขาย มีแกะรูปเสือ เป็นต้น ถ้าปกติราคาตัวละบาท เวลาแย่งชิงกันก็ขึ้นไปตัวละ 3 บาท ว่า 6 บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัชฌาสัยก็เป็นอย่างคนแก่ใจดี กิริยาเรียบร้อย อายุ 70 ปีแล้ว ยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย

เขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน

ติดตามเรื่องราวตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอน : รีวิวเรื่องตำนานสิ่งลี้ลับเรื่องผี

สามารถติดตามเรื่องราว เรื่องสิ่งลี้ลับได้เพิ่มเติมที่ : 10 เรื่องลี้ลับ