STORYREVIEW
STORYREVIEW
ตำนาน เรื่องหลอน เรื่องลี้ลับ 2023

10 สิ่งมหัศจรรย์ทั่วทุกมุมโลก

รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์ของทั่วทุกมุมโลก สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น

1.มาชูปิกชู Machu Picchu

มาชูปิกชู (ภาษาสเปน : Machu Picchu), มาจูปิกจู (เกชัว : Machu Pikchu) หรือมักจะนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา (Machu Picchu) เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวเผ่าอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,430 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกคนภายนอกลืมจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อไฮแรม บิงแฮม 

มาชูปิกชูได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปีคริสศักราช 1983 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนมาชูปิกชูให้เป็นแหล่งมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์

สิ่งมหัศจรรย์มาชูปิกชู Machu Picchu
สิ่งมหัศจรรย์โมอาย

2.โมอาย

จุดเริ่มต้น โมอายนี้เป้นรูปปั้นอยู่บนเกาะอีสเตอร์นี่แหละ ซึ่งเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ซึ่งชื่อของเกาะอีสเตอร์นี้มาจากการที่นักสำรวจคนแรกที่ค้นพบเกาะนี้เขาเดินทางมาในวันอีสเตอร์ในปี คริสศักราช 1722 ทำให้เขาได้ตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า เกาะอีสเตอร์ นั่นเอง

 มีตำนานเล่าขานกันว่า โมอายบนเกาะนี้เนี่ยเกิดจากการที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นได้สร้างรูปปั้นหินขึ้นมา ซึ่งก็คือโมอายนี่เอง และเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้จนหมดสิ้น  ทำให้ผู้คนอดอยาก จนแทบจะเกิดการสูญสิ้นเผาพันธุ์ของคนบนเกาะเลยทีเดียว

โมอายได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

ในปีพุทธศักราช 2533 ที่ผ่านมานี้โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผลหลายข้อด้วยกันเลยล่ะค่ะ ทั้งเป็นตัวแทนผลงานที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของบรรพบุรุษ ทั้งเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม และอารยธรรมที่ทำให้คนทั้งโลกได้สัมผัสมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้

3.กำแพงเมืองจีน

กำแพงเมืองจีน (長城) นั้นมีความสำคัญในเชิงจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการบุกรุกจากชาวฮั่น หรือชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้าในสมัยนั้น ซึ่งจะคอยมารุกรานชาวจีนตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวจีนในยุคนั้นมาก ซึ่งกำแพงนี้ก็ได้เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยของ จิ๋นซีฮ่องเต้ แล้ว โดยก๊ก หรือแคว้นที่อยู่ตามแนวชายแดนต่างสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง

กำแพงเมืองจีนได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

 กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี (ค.ศ.) คริสศักราช 1987 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนด และ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาต่าง ๆ ดังนี้

จัดเป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด

เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวนและภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม

เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้วเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

มีความคิดสร้างสรรค์และความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์

สิ่งมหัศจรรย์กำแพงเมืองจีน
สิ่งมหัศจรรย์พีระมิด

4.สิ่งมหัศจรรย์พีระมิด 

ในประเทศอียิปต์เองนั้นมีพีระมิดกระจายอยู่มากมายทั่วประเทศนับ 100 แห่ง หน้าที่หลักของมันก็คือเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ หรือ ฟาโรห์ นั่นเองครับ และเพื่อให้แน่ใจว่าองค์ฟาโรห์จะมีข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินเงินทองที่เพียงพอสำหรับโลกหน้าอย่างสุขสบาย (ถึงตรงนี้ให้จำคำว่า “โลกหน้า” ไว้ก่อนนะครับ) นอกจากนั้นยังรวมถึงอาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี อาวุธ อุปกรณ์ล่าสัตว์ ไปจนกระทั่งรถศึกเทียมม้า

ในบางครั้งก็ยังรวมถึงการประหารชีวิตคน เพื่อนำไปทำหน้าที่ในการเฝ้าสมบัติของพระองค์อีกด้วย

ความเชื่อของชาวอียิปต์และการทำมัมมี่

 ชาวอียิปต์นั้นมีความเชื่อว่า คนที่ตายไปแล้วจะกลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ เหมือนดวงอาทิตย์ที่หายลับขอบฟ้าในยามเย็น และกลับขึ้นมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ฟาโรห์ทุกพระองค์ก็ล้วนถือว่าเป็นโอรสแห่งสุริยเทพที่ถูกส่งมาปกครองโลกมนุษย์ หลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ลงแล้ว พระองค์ก็จะไปประทับอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “Duat” (ดุ-อัต) หรือโลกหลังความตาย ซึ่งมีเพียงผู้ที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจะเดินทางมาอาศัยอยู่ยังโลกนี้ได้ และมีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะสามารถออกจากโลกหลังความตายกลับมาจุติใหม่ในร่างเดิมที่จัดเตรียมไว้อย่างดี หรือก็คือ “มัมมี่” นั่นเองครับ (แต่ในสมัยต่อๆ มาการทำมัมมี่ก็แพร่หลายสู่ขุนนาง ชนชั้นสูง สามัญชน แม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอย่างเช่น แมว ด้วย จึงมีการทำมัมมี่กันเป็นปรกติ ไม่เฉพาะฟาโรห์

พีระมิดได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

ในปี พ.ศ. 2522 หรือ ในปี ค.ศ. 1979 เมืองหลวงของราชอาณาจักรเก่า ประกอบด้วย สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุสาน สถานที่แห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

5.สิ่งมหัศจรรย์เปตรา

เปตรา (ภาษาอังกฤษ : Petra, จาก ภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ; อาหรับ: البتراء) คือ นครหินที่แกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเดดซี กับ อ่าวอะกาบาในประเทศจอร์แดน Jordan นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อโยฮัน ลูทวิช บวร์คฮาร์ท นักสำรวจชาวสวิส เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปีพุทธศักราช 2355 หรือ คริสศักราช 1812

วิหารใหญ่ในนครเปตรา

เปตราถึงจุดสูงสุดใน 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงทศวรรษที่ 70 ในช่วงเวลานั้น Petra ถูกปกครองโดยกษัตริย์ชื่อ Aretas IV ซึ่งชาวกรีกเรียกว่า Philodemos ซึ่งแปลว่าความรักของประชาชน และความมั่งคั่งในฐานะหัวเมืองที่ห่างไกลและไม่สามารถพิชิตได้ ไชยบูลย์ จึงเปิดโอกาสให้เมืองพัฒนาได้โดยง่ายโดยไม่ต้องกังวลกับศัตรูต่างชาติ

ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ

นครเปตราได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

นครเปตราได้รับการขึ้นลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พุทธศักราช 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า “เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ” ในภาษาอังกฤษกล่าวไว้ว่า (one of the most precious cultural properties of man’s cultural heritage) ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อวันที่ 7 เดือน กรกฎาคม ปี พุทธศักราช 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่

สิ่งมหัศจรรย์เปตรา
สิ่งมหัศจรรย์บาบิโลน

6.สิ่งมหัศจรรย์บาบิโลน

บาบิโลน (Babylon) อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในยุค เมโสโปเตเมียโบราณ (Mesopotamia) อายุ 4,000 ปี ที่เพิ่งได้รับการรับรองขึ้นเป็นพื้นที่มรดกโลกในปี 2562 นับว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมโบราณโลก ที่แม้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ของชนชาติในบริเวณนี้จะค่อนข้างสับสนอยู่มาก เพราะมีการรบพุ่งกันตลอดเวลา ผู้ชนะได้ยึดครองทุกอย่าง แต่การคงอยู่ของเมืองบาบิโลนนี่เอง ที่เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมของความรุ่งเรืองในอดีตกาล ครั้งนี้เราจะพาไปเที่ยวถึงประเทศ อิรัก อันเป็นที่ตั้งของ อาณาจักรบาบิโลน นั่นเองครับ

บาบิโลนได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

  คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การ ทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ และ ทางการวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO (ยูเนสโก) ประกาศรับรองให้นครบาบิโลน อาณาจักรเมโสโปเตเมียโบราณที่มี อายุมากถึง 4,000 ปี นั่นขึ้นเป็นพื้นที่มรดกโลก เมื่อวันที่ 6 เดือน กรกฎาคม ปี พุทธศักราช 2562 นับเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งรัฐบาลอิรักประกาศว่าจะจัดงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษาและอนุรักษ์บาบิโลนอย่างจริงจัง หลังจากถูกคณะกรรมการติงมาหลายครั้งในเรื่องการปกป้องสถานที่สำคัญนี้

7.สิ่งมหัศจรรย์อนุสาวรีย์กริชตูเรเดงโตร์

กริชตูเรเดงโตร์ เป็นอนุสาวรีย์พระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ เป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนไปเยือนดินแดนแห่งศรัทธาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมเก่าแก่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรูปปั้นนี้มีความสูงถึง 38 เมตร (รวมฐาน) กว้าง 28  เมตร  วัดจากปลายแขนขวาไปจนถึงปลายแขนซ้ายและมีน้ำหนักมากถึง  635  ตันเลยทีเดียว

อนุสาวรีย์กริชตูเรเดงโตร์ยังไม่ได้เป็นมรดกโลก

ซึ่งทั้งนี้แล้ว อนุสาวรีย์กริชตูเรเดงโตร์ก็ยังไม่ได้การยอมรับให้เป็นมรดกโลก จากทาง UNESCO (ยูเนสโก) แต่ด้วยความสูงสง่าของอนุสถานแห่งนี้แล้วนั่น ก็ยังถือจัดได้ว่าเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์กันเลยทีเดียว

สิ่งมหัศจรรย์อนุสาวรีย์กริชตูเรเดงโตร์
สิ่งมหัศจรรย์หอเอนปิซ่า

8.สิ่งมหัศจรรย์หอเอนปิซ่า

เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากสำหรับสิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยยุคกลาง คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 15 อย่าง หอเอนปิซ่า Pisa ที่ประเทศอิตาลี Italy ที่ยังคงความสมบูรณ์แม้จะมีฐานที่ยุบตัวไปข้างนึง จึงส่งผลให้ตัวของหอมีความเอนมาตลอดระยะเวลาถึง 1,000 ปีเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่ล้มลง จุดนี้เองจึงทำให้หอเอนปิซาได้รับการยกย่องเป็น มรดกโลก แถวยังได้อีก1ตำแหน่ง นั่นก็คือ 7 สิ่่งมหศจรรย์ของโลก อีกด้วย

หอเอนเมืองปิซา 

ชื่อในภาษาอิตาลี Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa ชื่อในภาษาอังกฤษ Leaning Tower of Pisa ได้ตั้งอยู่ที่เมือง ปิซา Pisa ประเทศ อิตาลี Italy ในจัตุรัสเปียซซา เดลดูโอโม เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก Roman Catholic มีลักษณะรูปร่างเป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต หรือราวๆ 55.86 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 14,500 ตัน มีบันไดรวมทั้งหมด 293 ขั้น โดยมีองศาในการเอียงอยู่ที่ 3.97 องศา และ มียอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

หอเอนปิซ่าได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

ความมหัศจรรย์ของ หอเอนปิซ่า รวมถึงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1987 อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (7 Wonders) ในยุคกลางอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาวโลกทุกคนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีเลยทีเดียว

9.สิ่งมหัศจรรย์หอไอเฟล

ความฝันของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน คงอยากจะได้ไปสัมผัสหอไอเฟลกันอย่างแน่น หอไอเฟล เป็นสิ่งก่อสร้างสุดแสนจะมหัศจรรย์ที่เหล่านักเดินทางอยากจะไปเยี่ยมเยือน หอไอเฟล เป็นหอที่เป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ เพราะ ไม่ว่าจะพูดถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วละก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะนึกถึงหอไอเฟลอย่างแน่นอน และ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลของหอไอเฟลมาให้พวกท่านได้ดูกันแล้วเชิญอ่านกันเลย

หอไอเฟล (ในภาษาฝรั่งเศส: Tour Eiffel, หรือ ตูร์แอแฟล) เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

หอไอเฟลได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส ถูกสร้างขึ้นมาจากพระประสงค์โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครอง ด้วยความสวยงามและเป็นสถานที่สำคัญ ทำให้พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 1979 จากองค์การยูเนสโก และถือเป็น  1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วยนะ

สิ่งมหัศจรรย์หอไอเฟล
สิ่งมหัศจรรย์สโตนเฮนจ์

10.สิ่งมหัศจรรย์สโตนเฮนจ์

 สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่ที่กลาง ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี Salisbury Plain บริเวณตอนใต้ของประเทศอังกฤษซึ่งตั้งอยุ่บนเกาะ เราจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะ บริเวณโดยรอบนั้น เป็นที่โล่งไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆเลย โดยมีแท่งหินทั้งหมดจำนวน 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกันถึง 3 วง เลยทีเดียว และ วางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้ พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลย สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีแล้ว

วัตถุประสงค์การสร้างสโตนเฮนจ์ 

  จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมาเลย แต่ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่มากมาย ยกตัวอย่างที่มีคนพูดถึงกันมาก เช่น ผู้คนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 เชื่อว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ แค่แนวความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู

สโตนเฮนจ์ได้รับจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

สโตนเฮนจ์ และ หินบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อในปี ค.ศ. 1986 และ ยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย

ติดตามเรื่องราวตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอน : รีวิวเรื่องตำนานสิ่งลี้ลับเรื่องผี

สามารถติดตามเรื่องราว เรื่องเล่าชวนหลอนได้เพิ่มเติมที่ : 10 เรื่องเล่ามหาวิทยาลัยสยองขวัญ