STORYREVIEW
STORYREVIEW
ตำนาน เรื่องหลอน เรื่องลี้ลับ 2023
แวมไพร์

แวมไพร์ ตัวแรกที่ได้รับเกียรติบันทึกว่าเป็นของจริงและถูกยกให้อยู่ในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยอ้างอิงถึงชื่อของ “ปีเตอร์ โพลโคโจวิทซ์” (Peter Plogojowitz)ชายหนุ่มซึ่งเสียชีวิตในสงครามระหว่างเซอร์เบอร์-โรมาเนียกับจักรวรรดิออสเตรียในปี คศ 1725 ซึ่งศพของเขาก็ถูกฝังอยู่แถวๆ ที่เกิดเหตุนั่นเอง

แต่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นเพราะ ใน 3 เดือนถัดมาปีเตอร์กลับไปปราฏตัวอยู่ที่หมู่บ้าน คิซิโลว่า (Kisilova) ในเขต ราห์ม ( Rahm District ) บ้านเกิดของเขาเองซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเซอร์เบีย แต่เรื่องมันคงไม่น่าประหลาดอะไรเท่ากับว่า หลังจากที่ปีเตอร์กลับมาถึงหมู่บ้านของเขา ก็เกิดเหตุที่ทำให้คนในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ต้องเสียชีวิตลงไปถึง 9 คน ภายในสัปดาห์เดียว อาการที่คนทั้ง 9 เสียชีวิตนั้น เหมือนกันก็คือ ค่อยๆ หมดแรง หน้าไร้สี เหมือนเลือดถูกดูดออกจากตัว มีอาการเป็นไข้ตัวร้อนจัด สีผมเปลี่ยนราวกับแก่ลงชั่วข้ามคืน และทุกคนได้พูดก่อนที่จะตายว่า ระหว่างเคลิ้มๆ เขาเห็น ปีเตอร์ โพลโคโจวิทซ์ แอบเข้ามาในห้อง โดยนายศพเดินได้เข้ามานอนทับตัวแล้วบีบที่ลำคอของพวกเขาจนกระดุกกระดิกไม่ได้พอหมดสติก็ไม่เห็นนายปีเตอร์อีก และอาการของโรคต่างๆ ก็ปรากฏขึ้น คนเหล่านั้นนอนอยู่บนเตียงหลังจากนั้นก็ทยอยเสียชีวิตลงไป

แวมไพร์
แวมไพร์

มีข้อสังเกตนิดหนึ่งว่า ตามบันทึกที่ว่านี้ การกัดเพื่อดูดเลือดนั้นยังไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องราว แต่คล้ายๆ ว่าคนที่เสียชีวิตนั้น ตายเพราะติดเชื้ออะไรบางอย่างที่ทำให้อวัยวะภายในต่างๆ ค่อยๆ หยุดทำงาน ทุกคนมีสติสัมปะชัญญะมากพอที่จะเห็นว่าเกิดอะไรกับตัวเองอย่างชัดเจน เรื่องประหลาดของทุกศพที่รอการชันสูตรและรอการฝังนั้นมีอาการเหมือนกันก็คือ เล็บยาวขึ้น ผม ขน และ เครายาวขึ้นกว่าเดิม ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ผิวหนังซีดลงแต่ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่ แวมไพร์

 

เมื่อชาวบ้าน กรมเมือง กลุ่มพระพากันจะไปจับจำเลยสำคัญในเรื่องนี้ตามคำบอกเล่าของเหยื่อ เรื่องก็กลับตาละปัดให้ซับซ้อนกว่าเดิม เพราะเขาเองก็เสียชีวิตไปด้วยเช่นกันจากคำบอกเล่าของภรรยาของเขาว่าปีเตอร์นอนแบ่บเหมือนคนหมดแรงแล้วก็เสียชีวิตด้วยอาการเดียวกัน คณะสอบสวนก็เลยขอเปิดหลุมศพเพื่อดูก็พบว่า เขามีอาการเหมือนกันที่ตายไปทั้ง 9 ไม่มีผิด

แวมไพร์

เรื่องประหลาดมันอยู่ตรงนี้ครับว่า หลายสัปดาห์ถัดมา ปีเตอร์ที่ตายไปเป็นครั้งที่สองได้กลับมายังบ้านของเขาพบหน้าภรรยาอีกครั้ง แต่ไมได้กลับมาเพราะความรักโรแมนติกอะไร แต่กลับมาเพราะหิวและเขามาเอารองเท้าคู่เก่งต่างหาก เล่นเอาภรรยาจับไข้หัวโกร๋นต้องเผ่นออกไปจากหมู่บ้านทันที พยานบางคนบอกว่า ภรรยาของปีเตอร์เล่าว่าเขาฆ่าลูกชายด้วยการดูดเลือดอีกด้วย หลังจากนั้นก็มีข่าวว่านายปีเตอร์ แวมไพร์ได้เร่ร่อนไปตามเขตต่างๆ จนคนกลัวกันทั้งบาง



สุดท้ายคณะสอบสวนที่นำโดย Frombald ซึ่งทางการอาณาจักรออสเตรียส่งมาพร้อมกับพระจากเขต Veliko Gradište และรวมถึงประชาชนซึ่งทนไม่ได้กับอาชญากรรมที่ว่า ก็เลยกลับไปขุดหลุมศพของเขาดูอีกรอบ ทีนี้ทุกคนต้องตะลึงเพราะ ศพของนายปีเตอร์ยังดูสดอยู่มาก ผิวก็สร้างขึ้นมาใหม่ พระองค์หนึ่งที่ทำบันทึกชี้ว่า ในจมูกของเขานั้นมีน้ำมูกเสียด้วย (ฮา) แต่ที่น่าตกใจว่านั้นคือในปากครับที่ดูมีสีเลือดและความสดอย่างยิ่ง (หนังสือบางเล่มบอกว่ามีเลือดอยู่ในปากด้วย) เมื่อเห็นเช่นนั้น ชาวบ้านก็เลยเฮละโลเอาศพสดๆของแวมไพร์ปีเตอร์ออกมา เอาไม้ตอกเข้าไปที่อก ตรึงไว้กับโต๊ะที่วางจนเลือดนั้นพุ่งกระฉูดออกมาพรอมกับเสียงร้องจ๊าก บันทึกอย่างเป็นทางการบอกว่า ชาวบ้านเฮโลช่วยกันตอกหมุดกันหลายรูทีเดียวเพราะทำเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ขณะแวมไพร์ปีเตอร์เงียบลงได้เพราะโดนเอาพวงกระเทียมยัดปาก สุดท้ายเมื่อเอาหมุดแทงไม่ตาย เจ้าหน้าที่ก็เลยเอาดาบฟันที่หัวแล้วก็เอาน้ำมันราดจุดไฟเผาเสียเลย

แวมไพร์ปีเตอร์ก็สิ้นชื่อด้วยอาการแบบนี้ แต่หลังจากนั้นหนึ่งปี แวมไพร์อีกตัวก็ปรากฏขึ้นในนาม อาร์โนลด์ โพลเล่ เป็นชาวเซอร์เบียอีกเหมือนกัน หมอนี่ยอมรับก่อนทีจะกลายเป็นแวมไพร์เต็มตัวว่า ขณะที่เดินทางกลับบ้าน เขาถูกแวมไพร์ตัวหนึ่งโจมตีและกัดเข้าที่คอ เมื่อมาถึงก็กลายสภาพเป็นอย่างที่เห็น แต่เรื่องเล่านี้ไม่มีใครเชื่อจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ตายของคนอย่างน้อย 16 คนในเขต Meduegna ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ Morava ที่เมือง Paraćin จนสุดท้ายทางอาณาจักรออสเตรียก็ต้องสงคนมาดูและสอบอย่างเป็นทางการจนกระทั่งคอนเฟิร์มว่าอาร์โนลด์นั้นเป็นแวมไพร์จริง เรื่องราวการคงอยู่ของแวมไพร์และการอาศัยเลือดของมนุษย์ในการดำเนินชีวิตจึงแพร่ไปทั่วยุโรปตั้งแต่บัดนั้น



เครดิต : https://storyreview.net/

ติดตามเรื่องลี้ลับ : @UFA656