ขุนพันธรักษ์ราชเดช
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช-667x1024.jpg)
ขุนพันธ์
เป็นตำรวจที่ค่อนข้างแปลกเมื่อมองจากปัจจุบัน เพราะเป็นตำรวจสายมูแบบจัดหนักจัดเต็ม จนมีสมญาว่า ‘จอมขมังเวทย์’ ทั้งๆ ที่ตำรวจถือเป็นหน่วยงานราชการสมัยใหม่ ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสงบสุขแก่ประชาชนตามหลักศาสตร์ความรู้สมัยใหม่ แต่ก็เช่นเดียวกับอีกหลายต่อหลายเรื่องของสังคมไทยๆ ที่เมื่อเข้าไปดูเนื้อหาสาระแล้ว เราก็มักจะพบความไม่สมัยใหม่หรือ ‘ไม่เดิร์นเอาซะเลย’ (อยู่ตลอดเว)
ความมูของขุนพันธ์มาพร้อมกับการอ้างอิงถึงตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูมิหลังชีวิตการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามเหล่าโจรผู้ร้ายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง งานปราบปรามโจรผู้ร้ายสมัยก่อนเป็นงานอันตรายใหญ่หลวง หาจุดคุ้มทุนกับการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่ได้แล้วรอดมายืนยาวก่อนลาโลกไปในวัย 103 ปี ถูกผนึกรวมเป็นความน่าเชื่อถือและศักดิ์สิทธิ์แก่ความมูของขุนพันธ์ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตำรวจยุคขุนพันธ์มีอะไรหลายอย่างแตกต่างจากยุคปัจจุบันมากแน่ๆ แต่การเลือกหยิบยกเอาขุนพันธ์มาเป็น ‘วีรบุรุษ’ ของตำรวจไทยในรุ่นหลังมานี้เป็นเรื่องย้อนแย้งอย่างมาก เป็นวีรบุรุษนั้นหมายถึงเป็นตัวแบบในอุดมคติ ซึ่งก็หมายความว่า ณ ขณะเวลาที่มีการยกย่องวีรบุรุษเช่นนั้น ก็มักจะเป็นเวลาเดียวกับที่อุดมคติที่ว่านั้นสูญหายไปไม่มีใครเป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้วนั่นเอง
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช1-768x1024.jpg)
ขุนพันธ์เป็นตำรวจในยุคที่ไทยมีชุมโจรตั้งอยู่ทั่วไปในชนบท เป็นโจรที่มีความไม่ธรรมดาตรงที่โจรเหล่านี้มักได้รับสมญาเรียกขานนำหน้าชื่อโดยประชาชนและสื่อมวลชนว่า ‘เสือ’ เช่นมี ‘เสือฝ้าย’ ‘เสือดำ’ ‘เสือใบ’ ‘เสือมเหศวร’ ‘เสือกลับ’ ‘เสือสัง’ ‘เสือผ่อน’ ‘เสือปลั่ง’ ฯลฯ
สังคมไทยๆ อาจมีจารีตโบราณเกี่ยวกับคำนำหน้าชื่อเป็นตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ แต่การมีคำว่า ‘เสือ’ นำหน้าชื่อเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งกว่ายศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆและในการปราบเสือนั้นเอง ขุนพันธ์ค่อยๆ เป็นขุนพันธ์ในแบบที่เรารับรู้กัน วิธีการเอาชนะศัตรูโดยเรียนรู้จากศัตรูเป็นวิธีคลาสสิคที่รู้กันมานมนานในหลายวัฒนธรรม ถ้าไล่ไปถึงตำราศึกษารูปแบบวิธีการรบราฆ่าฟันกันอย่าง ‘พิไชยสงคราม’ แต่ในยุคหลังจากขุนพันธ์เกษียณอายุราชการไปแล้วก็ยังมีข้อมูลอีกมากที่แสดงถึงความไม่ได้เป็นประเทศปลอดโจรผู้ร้ายของสยามเมืองยิ้มแต่ประการใด เพียงแต่โจรเหล่านั้นไม่เรียกตัวเองหรือไม่ได้รับการอวยจากผู้คนว่า ‘เสือ’ เหมือนดังในอดีต
ดังที่มีภาษิตว่า ‘ชาติเสือไว้ลาย’ ในแง่นี้เสือกับความเป็นชายที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ความดุร้ายบางทีก็สะท้อนอำนาจบารมี ซึ่งสำหรับในหลายวัฒนธรรมของอุษาคเนย์เป็นสิ่งที่จะสามารถบันดาลให้โชคลาภและยศวาสนาแก่ผู้ที่อ่อนแอไม่มีสิทธิไม่มีเสียงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ต้องระมัดระวังเวลาอยู่ใกล้ ดังมีภาษิตว่า “นายรักเหมือนเสือกอด” เสือกับเจ้านายดูเหมือนจะถูกเทียบเคียงความคล้ายคลึงกันอยู่โดยนัย
ไม่อาจทราบเลยว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ที่เริ่มมีการอวยคนบางประเภทให้เป็น ‘เสือ’ เรื่องนี้มีมานานตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ดังจะเห็นได้จากที่มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งได้รับสมัญญาว่า ‘พระเจ้าเสือ’ และในสมัยปลายกรุงธนบุรีถึงต้นรัตนโกสินทร์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) อดีตขุนพลเอกของพระเจ้าตากสินท่านหนึ่ง ก็มีสมญาว่า ‘พระยาเสือ’
‘เสือ’
ได้รับการเคารพถึงกับมี ‘ศาลเจ้าพ่อเสือ’ ขึ้นหลายแห่ง มีทั้งศาลเจ้าแบบจีนและศาลเจ้าพ่อแบบไทย บ้างมีตำนานเล่าว่าเป็นเสือจริงไม่ใช่คน แต่เมื่อตายกลายเป็นผีประจำถิ่น บ้างก็ว่าเป็นคนดุร้ายเมื่อสมัยมียังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายก็ว่าวิญญาณไม่ได้หายไปไหน ยังคงป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ในสถานที่จึงต้องสร้างศาลให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ลูกหลานได้เซ่นไหว้ขอความคุ้มครอง
‘เสือ’ พบในจิตรกรรมและงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ มาก บ้างปรากฏอยู่ในรูปคู่พญามาร เป็นพาหนะของพญามารที่มาก่อกวนพระพุทธเจ้าในคืนวันก่อนจะตรัสรู้ ในนิทานชาดกมีหลายชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น ‘แมวใหญ่’
การอุปมาอุปไมย คนกับสัตว์ นอกจากเสือ ก็มีตัวอย่างอีกมากมาย ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเปรยว่า ‘โง่เหมือนควาย’ ‘ช้าอย่างกับเต่า’ ‘ดื้อเหมือนแมว’ ‘ซนอย่างกับลิง’ ‘ตัวใหญ่เท่าช้าง’ ‘เล็กเท่ามด’ ‘ประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเหมือนหมา’ ‘มีพิษเหมือนงู’ ‘บินได้ดั่งนก’ ‘ลิ้นสองแฉกแบบตะกวด’ ‘ขี้เกียจเหมือนหมู’ ‘ปราดเปรียวเหมือนม้า’ ‘พูดมากเหมือนนกแก้วนกขุนทอง’
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช2-694x1024.jpg)
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช8.jpg)
‘เสือ’ มักจะเป็น ‘ขบถ’ ควบคู่กันไปด้วย แต่ ‘ขบถ’ ไม่ทุกคนจะเป็น ‘เสือ’ ไปด้วย ‘ขบถ’ แม้จะยังเป็นคน แต่ก็กลับสูงส่งกว่า ‘เสือ’ ทั้งนี้อาจเพราะขบถบางประเภทมีศักยภาพจะแทนที่อำนาจเดิมได้ เช่น ขบถของเจ้านายและกลุ่มชาติพันธุ์เงี้ยวในภาคเหนือ, ขบถผู้มีบุญในอีสาน, ขบถเจ้าแขกเจ็ดหัวเมืองในภาคใต้ บางประเภทไม่เรียกตัวเองว่า ‘ขบถ’ แต่การกระทำมันใช่ ก็เช่น อั้งยี่ในภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก ‘เสือ’ บางคนเป็น ‘โจรสลัด’ เช่น ‘เสือผ่อน’ ที่เคยปล้นเรือสินค้าในแถบทะเลภาคตะวันออก แต่โดยมาก ‘โจรสลัด’ มักไม่เรียกตัวเองหรือถูกเรียกว่า ‘เสือ’ มีบ้างที่เป็น ‘อั้งยี่’
ลักษณะเด่นของ ‘ขบถผู้มีบุญ’ จะเป็นเรื่องการอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผู้นำ ซึ่งการอ้างอย่างนี้มีในหมู่ชนชั้นสูงอยู่ก่อนแล้ว ความเป็นระบบระเบียบมีขื่อแปของสังคมในส่วนนี้จะหมายถึงการห้ามไม่ให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปสามารถอ้างกฤดาภินิหารได้ ชนชั้นปกครองอ้างได้ฝ่ายเดียว ‘ขบถผู้มีบุญ’ มีความแมสและเปิดเผยกว่า ‘เสือ’ จึงง่ายที่จะถูกนำกำลังเข้าปราบปราม เสือมีความยืนหยุ่นกว่า เพราะมักจะพัฒนามาจาก ‘นักเลง’
ทั้ง ‘เสือ’ และ ‘ขบถผู้มีบุญ’ จะมีกฎเหล็กไม่ทำร้ายคนในชุมชนของตนเอง คนเหล่านี้แม้เป็น ‘คนแบดๆ’ ที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของรัฐส่วนกลาง แต่ก็ถือเป็น ‘ตัวแทนของหมู่บ้าน’
เมื่อการก่อกบฏอย่างตรงไปตรงมาถูกปราบลง ‘เสือ’ ก็มักจะเข้ามารับไม้ต่อ แต่ก็น่าสังเกตว่า บริเวณที่เกิดมีเสือชุกชุมนั้นมักจะอยู่ที่ภาคกลางและภาคใต้ตอนบน คืออยู่แค่ปลายจมูกของส่วนกลาง ที่เหลือมีบ้างในภาคอีสานและภาคตะวันออก แต่ไม่มากเหมือนภาคกลาง ภาคกลางนั้นมีมากที่สุด
ทั้งนี้อาจเพราะพื้นที่บริเวณภาคกลางตามหัวเมืองรอบนอก เช่น สุพรรณบุรี, ชัยนาท, อุทัยธานี, ลพบุรี, ราชบุรี, กาญจนบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ชนบทและป่าเขาที่ยังไม่ถูกทางการเข้าควบคุมเป็นอันมาก และความอยู่ใกล้ตัวเมืองศูนย์กลางซึ่งเป็นแหล่งปฏิบัติการ ทำให้เมื่อปล้นแล้วสามารถหลบหนีได้ แค่ออกจากตลาดในเมืองหนีไปถึงเขตหมู่บ้าน ไร่นา และป่าเขา ก็เป็นที่ปลอดภัยสำหรับโจรแล้ว
สายสัมพันธ์อีกรูปแบบที่โจรเสือมีกับชุมชน ยังได้แก่การฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์ชื่อดังที่ประชาชนในท้องถิ่นให้ความเคารพศรัทธาอีกด้วย การที่เสือมีครูอาจารย์ เป็นมากกว่าการจะได้เครื่องรางของขลัง เพราะนั่นจะทำให้เสือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ควบคุมเสือได้อีกต่อหนึ่ง หากมีเรื่องร้อนใจได้รับความเดือดร้อน ต้องการความคุ้มครอง หรือถูกเสือต่างถิ่นรังแก พระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ของเสือนั้นแหล่ะที่จะเป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวบ้านได้ ชาวบ้านในชนบทจึงไม่กลัวเสือ เพราะเสือควบคุมได้ แถมยังอาจเป็นลูกหลานหรือคนในวงวารว่านเครือของตนอีกด้วย
แต่กับเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนกลางเป็นตัวละครที่ชาวบ้านไม่เพียงไม่สามารถควบคุมได้ อำนาจต่อรองก็น้อยจนแทบไม่มี อีกทั้งคนของทางการเมื่อเข้าไปในชุมชนยังมักแสดงตัวเป็นเจ้าใหญ่นายโตกดขี่ข่มเหงชาวบ้านอีก คนจากราชการส่วนกลางแลดูไม่มีประโยชน์แถมคุกคามสำหรับวิถีชีวิตสงบสุข ผิดกับโจรซึ่งปล้นคนภายนอกไม่ปล้นหมู่บ้านตนเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้หากต้องเลือกระหว่าง ‘เสือ’ กับคนของทางการแล้ว จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านจะเลือกเสือมากกว่าทางการ เสือจึงอยู่รอดได้ท่ามกลางยุคสังคมชนบทที่ยังไม่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเมืองในวิถีชนชั้นกลางไปหมด
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช4-676x1024.jpg)
![ขุนพันธรักษ์ราชเดช](https://storyreviewnete08ed.zapwp.com/q:i/r:0/wp:1/w:1/u:https://storyreview.net/wp-content/uploads/2023/03/ขุนพันธรักษ์ราชเดช6-709x1024.jpg)
ในงานที่ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ของ เดวิด บรูช จอห์นสตัน เรื่อง “สังคมชนบทและภาคเศรษฐกิจข้าวของไทย พ.ศ.2423-2473” ได้แสดงให้เห็นว่า งานยากโหดหินที่สุดสำหรับส่วนกลางในการกดปราบคนชนบทนั้นนอกจากการปราบขบถผู้มีบุญแล้ว ยังต้องรับมือยาวนานกับพวกโจรผู้ร้ายต่างๆ ที่คนชนบทสร้างออกมาเป็นตัวแทนต่อต้านรัฐส่วนกลางอยู่ตลอด เป็นงานที่ลำพังตำรวจไม่อาจทำได้ ต้องใช้กองทหารที่มีอาวุธครบมือ แต่เมื่อนำกำลังบุกทลายรังโจรแล้วผู้นำก็มักจะหลุดรอดไปก่อตั้งชุมโจรขึ้นมาใหม่ได้อีกไม่นานหลังจากนั้น
ในพ.ศ.2434 ก่อนการเริ่มปฏิรูปมณฑลเทศาภิบาลสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ถึงหนึ่งปี สยามต้องส่งกำลังทหารเข้าไปปราบพวกโจรขโมยควายขนานใหญ่ที่ชลบุรี ภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ครั้งนั้นได้จับกุมผู้ร้ายได้กว่า 1,600 คน ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่อีกหลายปีกองทหารนี้จะต้องเผชิญกับการลุกฮือครั้งใหญ่ของคนอีสานหลังการปฏิรูป
ขณะที่ฝรั่งเศสที่เข้ามายึดครองจันทบุรีหลังเหตุการณ์กรณีร.ศ.112 ก็ต้องเผชิญกับการก่อกบฏของคนจีนในรูปอั้งยี่ จนต้องนำกำลังเข้าปราบปรามครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน แต่อั้งยี่จะไม่ถูกอธิบายว่าเป็นคนจันท์ที่ถูกฝรั่งเศสปราบปราม เพราะอั้งยี่มีภาพพจน์เป็นโจรผู้ร้ายโดยสัมบูรณ์มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งเป็นผลสืบมาจากกรณีอั้งยี่ยึดเมืองฉะเชิงเทราในสมัยรัชกาลที่ 3
การปราบปรามด้วยการใช้กำลังทหารนั้นอาจเหมาะกับชุมโจรที่มีสถานที่ตั้งมั่นชัดเจน แต่กับเสือในรุ่นหลังโดยเฉพาะตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2470 เป็นต้นมา การใช้กำลังทหารเริ่มจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและไม่มีประสิทธิภาพ เปรียบเหมือน ‘ขี่ช้างไล่มด’ เพราะชุมเสือมีขนาดเล็กลงและกระจัดกระจายกันมากด้วย ทำให้ยากต่อการติดตาม บทบาทหน้าที่ในการปราบปรามจึงตกเป็นของตำรวจ และนั่นก็เป็นช่วงเวลาหลังจากที่มีการปรับปรุงจาก ‘กองตระเวน’ ในเมือง มาเป็น ‘ตำรวจ’ ซึ่งมีขอบข่ายการปฏิบัติหน้าที่เข้ามาครอบคลุมพื้นที่ชนบทมากขึ้น
ที่สำคัญตำรวจยังเป็นหน่วยงานที่พัฒนามาจากการรับลูกหลานคนชนบทเข้ามาจับอาวุธอีกด้วย หลังจากนั้นมา ‘ตำรวจปราบโจร’ ก็คือลูกหลานคนชนบทปะทะกับคนชนบทด้วยกัน แต่เป็นคนที่ถูกตัดขาดสายสัมพันธ์เครือญาติ ต้องมาห่ำหั่นกันเอง เป็นศึกระหว่าง ‘ตัวแทนของหมู่บ้านหนึ่ง’ กับ ‘ตัวแทนของอีกหมู่บ้าน’ ไม่ใช่ตัวแทนคนชนบทกับคนของส่วนกลางเหมือนอย่างในอดีตก่อนหน้า
และช่วงนี้เองเป็นเวลาที่ขุนพันธ์ เด็กหนุ่มจากนครศรีธรรมราชได้เริ่มต้นชีวิตราชการ
ติดตามเรื่องราวตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอน : รีวิวเรื่องตำนานสิ่งลี้ลับเรื่องผี
สามารถติดตามเรื่องราวในตำนาน สิ่งลี้ลับ เรื่องเล่าชวนหลอนได้เพิ่มเติมที่แฟนเพจของเรา : 10 เรื่องในตำนาน